
Pick and Roll ทำไมถึงเป็นอาวุธลับที่ไม่มีวันตาย
- Harry P
- 90 views
Pick and Roll กลยุทธ์ที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ในโลกของบาสเกตบอล ที่ไม่ว่าเวลา จะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าเกมจะเปลี่ยนเร็ว หรือช้า มันก็ยังคงทรงพลังเสมอ ยังคงเป็นหัวใจของเกมรุก ตั้งแต่ยุค 80s จนถึงยุคที่ Luka Doncic ครองเกม ด้วยจังหวะสโลว์โมชั่นในปี 2020s
“Pick & Roll” (พิค แอนด์ โรล) คือหนึ่งในแผนการเล่นพื้นฐาน ของเกมรุกในบาสเกตบอล โดยมีองค์ประกอบหลัก เพียงแค่สองคน แต่สามารถสร้างโอกาส ได้อย่างไร้ขีดจำกัด [1]
แม้ฟังดูง่าย แต่การใช้พิคแอนด์โรล ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ต้องอาศัยทั้งเวลา จังหวะ ความสัมพันธ์ทางเคมี และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ระหว่างผู้เล่นทั้งสอง
หากจะกล่าวถึง “ราชาแห่งพิคแอนด์โรล” ชื่อของ นักบาสอาชีพ อย่างจอห์น สต็อคตัน (John Stockton) และคาร์ล มาโลน (Karl Malone) จะต้องปรากฏเป็นชื่อแรกเสมอ
ตลอดช่วงทศวรรษ 1980–1990 ทั้งสองคนช่วยกันยกระดับ Utah Jazz (ยูทาห์ แจ๊ส) จนกลายเป็นทีมชั้นนำของลีก โดยใช้พิคแอนด์โรลเป็นอาวุธหลัก ในการเจาะแนวรับคู่แข่ง พิคแอนด์โรลในยุคนั้น อาจดูช้าไปสำหรับยุค NBA ปัจจุบัน แต่ความแม่นยำ และความมั่นใจในการใช้ ทำให้มันทรงพลังไม่แพ้ใคร [2]
สิ่งที่ทำให้คู่หูคู่นี้พิเศษ ไม่ใช่แค่สถิติการ Assist (แอสซิสต์) หรือคะแนนเท่านั้น แต่คือ การอ่านเกมร่วมกัน อย่างแม่นยำ จังหวะที่สต็อคตัน เลี้ยงเข้ามาแล้วหยุดฉับพลัน ก่อนที่มาโลนจะพุ่งเข้าไปรับบอล เหมือนทั้งสอง มีสายตาที่สาม ที่รู้ว่ากันและกัน จะไปตรงไหน
เมื่อเข้าสู่ยุค 2000s โลกของ NBA เปลี่ยนเร็วขึ้น กลายเป็นยุคของการเล่นที่เร็ว เน้นการยิงสามแต้ม การวางแผนเกม เปลี่ยนจากการใช้เซ็นเตอร์ตัวใหญ่ เป็นศูนย์กลาง มาเป็นการกระจายผู้เล่นรอบนอก ให้ยิงได้ทุกคน แต่แม้กระแสจะเปลี่ยน พิคแอนด์โรลก็ไม่เคยหายไป ในทางกลับกัน มันกลับ “ปรับตัว”
พิคแอนด์โรลยุคนี้ เริ่มเน้นการ Stretch the Floor การมีสกรีนเนอร์ ที่สามารถยิงระยะไกลได้ ทำให้แนวรับ ต้องออกมาประกบ ส่งผลให้พื้นที่ใต้แป้นโล่ง สำหรับการทะลวงของบอลแฮนเดลเลอร์
ในโลกที่เกมเร็ว กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนยึดถือ การมาถึงของลูก้า ดอนชิช (Luka Doncic) คือสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้เร็วแบบรัสเซล เวสต์บรูก (Russell Westbrook) ไม่ได้แรงแบบยานนิส อันเทโทคุมโป (Giannis Antetokounmpo) แต่ลูก้ากลับควบคุมเกม ได้ราวกับเล่นอยู่ใน “ฟองสบู่ของตัวเอง”
สิ่งที่ทำให้ลูก้าน่ากลัว คือเขาใช้พิคแอนด์โรล ในรูปแบบที่ “ช้าแต่ชัดเจน” เขาอ่านการเคลื่อนที่ของแนวรับทุกจังหวะ สามารถดึงผู้เล่นเข้าหา แล้วยัดบอลให้เพื่อนร่วมทีม ในจังหวะที่แนวรับหลุดโฟกัสได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำไฮไลต์ แบบดังกระหึ่ม แต่ลูก้าสร้างโอกาสทำแต้มได้แทบทุกครั้ง ที่เขาใช้พิคแอนด์โรล
พิคแอนด์โรลของลูก้า จึงกลายเป็นอาวุธใหม่ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้จังหวะช้าๆ แต่เปี่ยมไปด้วยไอคิว [3]
ในท้ายที่สุด พิคแอนด์โรลก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่คือเรื่องของ “เคมีระหว่างผู้เล่น” และ “การอ่านสถานการณ์ร่วมกัน ในเสี้ยววินาที”
พิคแอนด์โรลจึงไม่ได้เป็นแค่แผนการเล่น แต่คือศิลปะของการ ไว้วางใจ, รู้ใจ, และคิดให้เร็ว ในภายใต้ความกดดัน
ท้ายที่สุด พิคแอนด์โรลยังคงเป็นอาวุธหลัก ของทุกทีมใน NBA เพราะมันเปิดโอกาส สร้างความได้เปรียบ และตอบโจทย์ ในทุกยุคสมัย ได้อย่างกลมกลืน พิคแอนด์โรลยังคงอยู่ ไม่ใช่เพราะมันง่าย แต่เพราะมัน “ใช้งานได้จริง” และนั่นคือเหตุผลของศิลปะลับ ที่ไม่มีวันตาย ในโลกของบาสเกตบอล
เปลี่ยนจากการพึ่งผู้เล่นตัวใหญ่ ไปสู่การเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่น เช่น ผู้ตั้งสกรีนถอยออกไปยิงจากวงนอก หรือมีเพื่อนอีกคน ยืนรอจังหวะยิงข้างนอก ทำให้แนวรับต้องกระจายตัวมากขึ้น และคุมพื้นที่ได้ยากกว่าเดิม
แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพิคแอนด์โรลคือเครื่องมือพื้นฐาน ในการสร้าง “ความได้เปรียบ” ให้กับเกมรุก มันไม่ใช่แค่แผนเก่า แต่คือรูปแบบที่สามารถปรับใช้ได้ในทุกยุคสมัย ทั้งกับผู้เล่นตัวใหญ่ และผู้เล่นเร็ว