
0.4 วินาที แห่งปาฏิหาริย์ เวลาไม่ใช่อุปสรรคในเกมบาส
- Harry P
- 88 views
0.4 วินาที แห่งปาฏิหาริย์ เวลาที่ฟังดูไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับ 48 นาทีเต็มของการแข่งขัน NBA แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลา ที่จุดประกายให้โลกตระหนักว่า ในบาสเกตบอล ไม่มีอะไรเร็วเกินไป และเวลานั้นเอง คือวินาทีที่ Derek Fisher จารึกชื่อตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์
วันที่ 13 พฤษภาคม ปี 2004 เป็นวันที่โลกของ NBA ได้เห็นหนึ่งในภาพจำอันยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน รอบเพลย์ออฟ เกมนั้นคือการพบกันระหว่าง ลอสแองเจลิส เลเกอร์ส (Los Angeles Lakers) กับซานแอนโตนิโอสเปอร์ส (San Antonio Spurs)
ในเกมที่ 5 ของรอบ Western Conference Semifinals ทั้งสองทีม เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ สเปอร์สนำโดย ทิม ดันแคน (Tim Duncan), โทนี่ ปาร์คเกอร์ (Tony Parker) และมานู จิโนบิลี (Manu Ginóbili)
ส่วนเลเกอร์ส (Lakers) มาพร้อมชาคิล โอนีล (Shaquille O’Neal), โคบี้ ไบรอันท์ (Kobe Bryant) และเดเร็ค ฟิชเชอร์ (Derek Fisher) ที่ในตอนนั้น ยังไม่ได้รับการยกย่อง เท่ากับเพื่อนร่วมทีม แต่เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น มันจะเปลี่ยนสถานะของเขา ไปตลอดกาล [1]
ในช่วงเวลาสุดท้ายของควอเตอร์ที่ 4 เกมเต็มไปด้วยแรงกดดัน เลเกอร์สนำอยู่ 72-71 จนกระทั่งทิม ดันแคนโชว์จังหวะ เฟดอะเวย์จัมพ์ช็อต (Fadeaway Jump Shot) สุดมหัศจรรย์ เหนือการประกบของแช็ก (Shaq) ทำให้สเปอร์สขึ้นนำ 73-72 และสุดท้าย เหลือเวลาเพียงแค่ ศูนย์จุดสี่วินาทีบนหน้าปัด
แฟนสเปอร์สเริ่มเฮ แฟนเลเกอร์สหลายคน เริ่มถอนใจ และแม้แต่ผู้บรรยาย ก็เริ่มพูดถึงเกมถัดไป [2]
ในบาสเกตบอลมีกฎหนึ่ง ที่มักไม่เป็นที่รู้จัก ในหมู่แฟนกีฬา นั่นคือ “Trent Tucker Rule” ซึ่งระบุว่า ผู้เล่นสามารถชู๊ตทันที จากการรับบอลได้ หากเหลือเวลา ศูนย์จุดสามวินาทีขึ้นไป นั่นหมายความว่า ศูนย์จุดสี่วินาที ในสนามบาส ไม่ใช่เวลาที่ไร้ค่า มันคือขอบเขตสุดท้าย ของความเป็นไปได้
กฎข้อนี้ กลายเป็นเส้นแบ่งระหว่าง “ทัน กับไม่ทัน” ระหว่าง “ยังมีหวัง กับจบแล้ว” และในวันที่ 13 พฤษภาคม 2004 นั้นเอง ที่ศูนย์จุดสี่วินาที ได้กลายเป็นเวทีของความเป็นไปได้สูงสุด ที่โลกเคยเห็น
เลเกอร์สได้ Timeout และฟิล แจ็คสัน (Phil Jackson) เรียกแผนขึ้นมา บอลจะถูกส่งเข้าโดยแกรี่ เพย์ตัน (Gary Payton) ซึ่งจะหาทางส่งให้ฟิชเชอร์ ในฝั่งซ้ายของคอร์ท ขณะที่ทุกสายตา จับจ้องอยู่ที่โกเบ (Kobe) สัญญาณเริ่มเกมดังขึ้น เพย์ตันส่งบอลผ่านหัว มานู จิโนบิลี (Manu Ginóbili) มาถึงฟิชเชอร์
ฟิชเชอร์รับบอล หันข้างเล็กน้อย และชู๊ต ในจังหวะเดียวกับที่เท้าทั้งสอง ยังลอยอยู่เหนือพื้น เวลาบนป้ายหมดลง พร้อมลูกบาส ที่ลอยโค้งสวยงามผ่านอากาศ “เสียงบัซเซอร์ดังขึ้น ลูกบาสตกลงที่ห่วงอย่างนุ่มนวล คนทั้งสนามเงียบสงบ และระเบิดเสียงเชียร์ ในเสี้ยววินาทีต่อมา”
ภาพของเดเร็ค ฟิชเชอร์วิ่งหนีด้วยความดีใจ ปิดหน้าตัวเอง ขณะพุ่งเข้าห้องล็อกเกอร์ เพื่อหลบการประท้วง จากผู้เล่นสเปอร์ส และนั่นกลายเป็นภาพประทับ ที่ยังคงถูกเล่นซ้ำในช่วง “Top 10 Playoffs Moments” อยู่เสมอ [3]
แม้ใครหลายคน จะมองว่าเป็นโชค หรือความบังเอิญ ที่ฟิชเชอร์ยิงลูกนั้นได้ แต่หากมองลึกลงไป มันสะท้อนให้เห็น ถึงหลายองค์ประกอบ ที่ถูกจัดวางอย่างแม่นยำ
ปาฏิหาริย์จึงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือผลของการฝึกฝน การเข้าใจเกมอย่างลึกซึ้ง และความกล้าหาญ ในการคว้าโอกาส ที่คนส่วนใหญ่มองว่า “สายไปแล้ว”
เหตุการณ์ศูนย์จุดสี่วินาทีของเดเร็ค ฟิชเชอร์ ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญ ในโลกของบาสเกตบอล และวงการกีฬาทั้งหมดว่า “ตราบใดที่ยังมีเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาที โอกาสก็ยังมี”
มันเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงพลังของความหวัง ไม่ว่าคุณจะตามหลังเท่าไหร่ จะเหลือเวลาแค่ไหน หากคุณยังคงเล่นอยู่ ยังเชื่อ และลงมือทำ บางทีคุณอาจเขียนเรื่องราวของตัวเองได้ ในแบบที่ไม่มีใครกล้าคิด
ในบาสเกตบอล เวลาอาจเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หัวใจของนักกีฬา ไม่ได้วัดด้วยนาฬิกา แต่มันวัดด้วยความกล้า ในทุกเสี้ยววินาที
ท้ายที่สุดแล้ว ถึงวันนี้ เหตุการณ์ในปี 2004 ยังคงถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งใน “The Greatest Buzzer Beaters in NBA History” ฟิชเชอร์อาจไม่ได้มีสถิติยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ลูกชู๊ตศูนย์จุดสี่วินาทีของเขา กลายเป็นหนึ่งในภาพจำของ NBA และทุกครั้งที่เกมยังไม่จบ แฟนบาสยังคงจำได้ว่า “ทุกอย่างยังเป็นไปได้”
เพราะมันแสดงให้เห็นว่า แม้เวลาจะเหลือเพียงเศษเสี้ยว แต่โอกาสก็ยังมีอยู่เสมอ และมันเพียงพอที่จะเปลี่ยนผลการแข่งขันได้
คือกฎที่บอกว่า ลูกชู๊ตแบบ catch and shoot ต้องใช้เวลาอย่างน้อย (0.3 วินาที) ขึ้นไป ทำให้ (0.4 วินาที) ของฟิชเชอร์ยังสามารถชู๊ตได้ตามกฎ