
เสาหิน ใต้แป้น กับภารกิจฟื้นศรัทธาใต้แสงของเลเกอส์
- Harry P
- 39 views
เสาหิน ใต้แป้น ดีออนเดร เอย์ตัน (Deandre Ayton) ชายผู้ใช้ร่างกายอันใหญ่โต ยึดพื้นที่ใต้ห่วง ในโลกของ NBA ที่เต็มไปด้วยเกมที่หมุนไว อย่างไม่มีวันหยุด การมี “เสาหลัก” ที่ยืนตระหง่านอยู่ใต้แป้น อาจดูเชื่องช้าในสายตาบางคน แต่สำหรับบางทีม นี่คือฟันเฟืองสำคัญ ในการรักษาสมดุล
หลังจากฤดูกาลที่เงียบเหงา กับพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ในฤดูกาล 2024-25 ซึ่งแม้จะทำสถิติ double-double ได้อย่างสม่ำเสมอ เฉลี่ย 14.4 แต้ม 10.2 รีบาวด์ แต่บทบาทของเอย์ตัน กลับดูไร้แรงจูงใจในหลายเกม (3 กันยายน 2025) [1]
จนกลายเป็นภาพจำในแง่ลบว่า เขาคือเซนเตอร์ที่มีพรสวรรค์ แต่ขาดพลังขับเคลื่อน และการย้ายมาร่วมทัพเลเกอส์ ในซัมเมอร์ปี 2025 จึงเป็นโอกาสใหม่ ที่มีความหมายมากกว่าแค่การเปลี่ยนสีเสื้อ ดีลกับเลเกอส์ เป็นสัญญาระยะสั้น 2 ปี ในฤดูกาล 2025-2027 มูลค่าราว 16 ล้านเหรียญ
ที่เกิดขึ้นจาก buyout กับเทรลเบลเซอร์ส ซึ่งเอย์ตันยอมเสียเงินประมาณ 10 ล้านเหรียญ เพื่อออกจากทีมเดิม นี่คือการแสดงให้เห็น ถึงความเต็มใจ ในการรีเซตชีวิตนักบาสของเขา ในเวทีที่ใหญ่ขึ้น ท่ามกลางความคาดหวังมหาศาล ของทีมระดับเลเกอส์ (1 กรกฎาคม 2025) [2]
แม้จะมีคำวิจารณ์อยู่ไม่น้อย แต่ดีออนเดร เอย์ตันยังคงเป็นเซนเตอร์ ที่มีค่าเฉลี่ย double-double เป็นพื้นฐาน เขามีร่างกายแข็งแรง เล่นแน่นอน และมีทักษะเท้าดี เมื่อเทียบกับผู้เล่นที่รูปร่างใกล้เคียงกัน
จุดเด่นของเอย์ตัน อยู่ที่การเลือกตำแหน่ง เก็บรีบาวด์อย่างชาญฉลาด มากกว่าการพึ่งพาพลัง หรือความว่องไวเพียงอย่างเดียว
ในยุคที่หลายทีมเล่นเร็ว และใช้ผู้เล่นตัวเล็ก เอย์ตันกลับเป็นเหมือนก้อนหินใหญ่ ที่ขวางความเร็วเหล่านั้นไว้ได้ เขาอาจไม่ได้โชว์ลีลาน่าตื่นเต้น แต่เป็นผู้เล่น ที่เมื่อหายไปจากสนาม ทีมจะรู้สึกถึงความแตกต่างทันที
เสียงวิจารณ์หลักๆต่อเอย์ตัน มีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือแรงจูงใจ ที่ไม่สม่ำเสมอ และสองคือความเฉื่อย ในบางเกมสำคัญ หลายครั้งที่เขาหายไปจากเกม แม้อยู่ในสนามก็ตาม ความสามารถในการอ่านเกม และการตั้งรับในจังหวะ second effort ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
อีกหนึ่งจุด ที่มักถูกโจมตี คือความไม่ aggressive ในการ finish ใต้แป้น เอย์ตันไม่ใช่ผู้เล่นที่ดึงฟาวล์เก่ง หรือเล่นแบบท้าทาย contact ซึ่งเมื่อรวมกับทักษะ passing ที่ยังไม่ลื่นไหล จึงทำให้เขา ไม่สามารถเป็น playmaking big แบบโยคิช หรือซาโบนิสได้
การมาอยู่ในทีมที่มีทั้ง LeBron James, Anthony Davis และล่าสุด Luka Doncic ย่อมหมายถึง spotlight ที่ใหญ่กว่าที่เขาเคยเจอมาก่อน มันเป็นทั้งโอกาส และแรงกดดันพร้อมกัน เอย์ตันจะไม่สามารถซ่อนตัว หรือเล่นแบบปานกลางได้อีกต่อไป เพราะทุกคืนที่เลเกอส์ลงสนาม คือคืนที่โลกจับตา
แต่ก็ใช่ว่าเอย์ตัน จะไม่มีสิทธิ์กลับมาเฉิดฉาย ถ้าเขาสามารถรักษาความสม่ำเสมอของฟอร์ม ในระดับ 12-14 แต้ม 9-11 รีบาวด์ พร้อมกับพัฒนาการป้องกัน P&R (pick-and-roll) และการ help defense ให้เร็วขึ้น เขาจะกลายเป็นแกนกลาง ที่เลเกอส์ต้องการมาตลอด
ในเชิงกลยุทธ์ เลเกอส์ต้องการ big man ที่สามารถรับมือกับทีมอย่าง เดนเวอร์ นักเก็ตส์ หรือมินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ และเอย์ตัน มีขนาดตัวที่เหมาะจะรับภาระนี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้น shut down ใครได้ แต่ก็พอจะชะลอได้ ในบางเกม (20 มิถุนายน 2025) [3]
เอย์ตันไม่ใช่นักบาส ที่มีบุคลิกโดดเด่น หรือสร้างเรื่องราวรอบตัว ได้แบบ ดรีมเชค ยุคใหม่ อย่างโจเอล เอ็มบีด และไม่ใช่ผู้นำที่ขึงขังแบบ แบม อเดบาโย เขามักจะเงียบ ไม่แสดงอารมณ์ และบางครั้ง ก็ดูเหมือนไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย จึงถูกวิจารณ์ว่าไร้ไฟ
แต่การย้ายมาเลเกอส์ครั้งนี้ อาจกลายเป็นการลงทุน ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขา หากใช้โอกาสนี้ พลิกฟื้นภาพลักษณ์ให้กลับมาใหม่ การได้เล่นในทีม ที่อยู่ใต้แสงไฟของสื่อทุกคืน ต่อหน้าผู้ชมทั่วประเทศ และอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ กับบทบาทตัวเอง
อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่จะทำให้เอย์ตัน ก้าวข้ามข้อครหาทั้งหมด หากเขากล้าเปิดใจ ยอมเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เขาก็อาจเปลี่ยนภาพจำจาก “ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ แต่ไม่สู้” กลายเป็น “เสาหลักที่ทีมวางใจได้” อย่างแท้จริง
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีของเอย์ตันคือ เขาไม่ใช่ผู้เล่น ที่แฟนบาสจะหลงรักได้ทันที แต่ก็ไม่ใช่คนที่ควรถูกมองข้ามเช่นกัน ในยุคที่เซนเตอร์สมัยใหม่ ถูกวัดจากการ space the floor, switch defense หรือ playmaking เอย์ตันอาจดู “เชย” แต่ถ้ามองจากบริบทจริงๆ บางทีมันคือสิ่งที่ขาดหายไป จากหลายทีม
จึงกล่าวได้ว่า เสาหิน ใต้แป้น อย่างดีออนเดร เอย์ตันอาจไม่เคยได้รับการเชิดชู ในยุคของ pace-and-space แต่เขาคือบทพิสูจน์ว่า ร่างกายที่มั่นคง การยืนถูกที่ และการไม่ทำสิ่งผิดพลาดมากเกินไป ยังมีคุณค่าเสมอ ในเกมระดับสูง
เพราะเขาเป็นเซนเตอร์ ที่ยึดพื้นที่ใต้แป้นได้มั่นคง มีร่างกายแข็งแรง และมีสไตล์การเล่นที่แน่นอน แม้ไม่โดดเด่นแบบผู้เล่นระดับไฮไลต์ แต่ก็มีคุณค่าต่อเกม ในเชิงโครงสร้างของทีม
คือโอกาสฟื้นภาพลักษณ์ในทีมตลาดใหญ่ ที่มีระบบชัดเจน และอยู่ภายใต้ความคาดหวังสูง เขาต้องพิสูจน์ตัวเองทุกคืน ว่าไม่ใช่แค่ “ผู้เล่นพรสวรรค์” แต่คือเสาหลักจริง