
เทพพิทักษ์ ใต้แป้น ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
- Harry P
- 103 views

เทพพิทักษ์ ใต้แป้น เบน วอลเลซ (Ben Wallace) ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีทักษะรุกระดับพระกาฬ ไม่มีชื่อเสียงจากวันดราฟต์ แต่เขาทำให้ทั้งลีกต้องยอมรับ นี่คือเรื่องราวของผู้ชาย ที่พิสูจน์ว่า “การไม่ยอมแพ้” ก็สร้างชื่อได้ และเสียงตบลูกบนแป้นที่เขาทิ้งไว้ ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำของเกม
มีนักบาสไม่กี่คนในโลกใบนี้ ที่สามารถยืนหยัดท้าทาย ซูเปอร์สตาร์ระดับ MVP ได้โดยไม่ต้องมีลูกชู้ตสามแต้ม หรือการจ่ายบอลแบบมหัศจรรย์ และยิ่งน้อยลงไปอีกถ้าเขา “ไม่ถูกดราฟต์” ด้วยซ้ำ
แต่เบน วอลเลซคือหนึ่งในคนเหล่านั้น ชายผู้แบกตำแหน่งเซนเตอร์ ด้วยส่วนสูงเพียง 6 ฟุต 9 นิ้ว พร้อมมัดผมฟู กับพลังงานที่แทบไม่มีใคร กล้าเข้าใกล้ใต้แป้น เขาไม่ได้แค่บล็อกลูก เขาเปลี่ยนใจคู่แข่ง ตั้งแต่ยังไม่ชู้ต และนี่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง
แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในเกมระดับเพลย์ออฟ วอลเลซสร้างแรงกดดัน ในเชิงจิตวิทยาให้คู่แข่ง ตั้งแต่ก่อนบอลจะโยนเข้า เขาคือแนวรับที่ทำให้ทีมรู้สึกว่า ตัวเองเล่น 6 คนในสนาม

เบน วอลเลซเกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 1974 ในเมืองเล็กๆ ที่ว่าชื่อ White Hall, Alabama เขาโตมากับพี่น้อง 10 คน และเรียนรู้ถึงคุณค่าของความทุ่มเท ในครอบครัวที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด เมื่อเข้าสู่วงการบาสเกตบอล เขาไม่ได้รับการดราฟต์เข้าลีก ในปี 1996 เลยแม้แต่น้อย
แต่หลังจากพยายามฝึกฝน และแสดงความสามารถกับทีม Washington Bullets / Wizards เขาก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ในฐานะพลังแนวรับแถวหน้า และย้ายมาแจ้งเกิดเต็มตัวกับ Detroit Pistons ในยุคต้น 2000s
วอลเลซไม่ใช่แค่เซนเตอร์ขนาดเล็ก ที่สู้กับยักษ์ เขาคือผู้เล่นที่ป้องกันผู้เล่นระดับ ชาคีล โอนีล (Shaquille O’Neal) ภูเขาไฟ ใต้แป้น ของยุคนั้น ได้แบบตรงไปตรงมา และไม่มีใครกล้าท้าทายเขาใต้แป้น (29 กันยายน 2025) [1]
น่าสังเกตว่าเบน วอลเลซเป็นผู้เล่นไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ ที่มีบล็อกมากกว่าฟาวล์ และสตีลมากกว่าเทิร์นโอเวอร์ ตลอดอาชีพ เป็นสัญญาณของการป้องกัน ที่ชาญฉลาด และมีประสิทธิภาพสูง (13 ตุลาคม 2025) [2]
จุดเด่นของเบน วอลเลซไม่ได้อยู่ที่ความสูง หรือทักษะหวือหวา แบบผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ แต่เป็นเรื่องของพลัง ที่ไม่หมดง่ายๆ ความสามารถในการอ่านเกมอย่างแม่นยำ และไหวพริบ ที่ทำให้เขา ไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเสมอ
เขาเล่นเกมรับ เหมือนคนที่เข้าใจว่าแต่ละจังหวะของเกม จะส่งผลต่อทั้งทีมยังไง ตั้งแต่การหมุนตัวไปบล็อก ในมุมที่เพื่อนพลาด ไปจนถึงการกระตุ้น ให้เพื่อนร่วมทีมคุยกันบนคอร์ท การมีวอลเลซอยู่ในสนาม จึงไม่ต่างจากการมีโค้ชเกมรับ ที่สามารถวิ่ง บล็อก และชนได้ในเวลาเดียวกัน
และสิ่งที่เขาทำ ยังเป็นรากฐานให้กับแนวคิด “Positionless Defense” ซึ่งหมายถึงการที่ผู้เล่นแนวรับ สามารถรับมือกับคู่แข่งได้ทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการ์ดที่คล่องแคล่ว หรือเซนเตอร์ที่ตัวใหญ่กว่า แนวทางที่ตอนนี้ กลายเป็นมาตรฐานของเกมรับใน NBA ยุคใหม่

แม้เบน วอลเลซจะเป็นแนวรับ ระดับตำนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขา ไม่มีจุดอ่อนเลย เขาไม่ถนัดในการชู้ตลูกระยะกลาง และลูกโทษของเขาแม่นยำน้อยมาก ตลอดอาชีพมีเปอร์เซ็นต์การชู้ตลูกโทษแค่ 41.4% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของลีก อย่างเห็นได้ชัด
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ถ้าวอลเลซมาเล่นในยุคปัจจุบัน ที่เกมรุกเปิดพื้นที่มากขึ้น และเน้นการชู้ตสามแต้ม เขาจะสามารถปรับตัว และอยู่ในสนามได้นานพอหรือไม่ เพราะเกมวันนี้ต้องการผู้เล่น ที่สามารถยืนได้ทุกจุดในสนาม
แต่สิ่งที่เบน วอลเลซพิสูจน์ไว้ก็คือ การมีผลต่อเกม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำแต้ม หากคุณสามารถหยุดอีกฝ่าย ไม่ให้ทำแต้มได้เลยตั้งแต่ต้นจังหวะ นั่นต่างหากที่เปลี่ยนเกมจริงๆ
หลังจากรีไทร์ในปี 2012 วอลเลซไม่ได้หายไป จากวงการบาสเกตบอล เขากลับมามีบทบาทสำคัญ กับทีมที่เขารักอย่าง Detroit Pistons โดยรับหน้าที่ในทีมบริหาร และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเกมรับ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรง ให้กับผู้เล่นรุ่นใหม่ (9 ตุลาคม 2021) [3]
นอกจากนี้ วอลเลซยังเป็นเจ้าของทีม Grand Rapids Gold ใน G-League ซึ่งเป็นลีกพัฒนาผู้เล่นของ NBA เขามักปรากฏตัวในการฝึกซ้อม พูดคุย สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬา ที่ไม่ได้มาจากเส้นทางสายตรง เหมือนกับที่เขา เป็นการส่งต่อพลังให้คนที่ไม่มีใครมองเห็น ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง
หากจะเป็นแนวรับระดับสูงต้องฝึกอะไร
บทสรุป เทพพิทักษ์ ใต้แป้น “เบน วอลเลซ” คือตัวแทนของพลัง ที่ไม่ต้องพึ่งแสงไฟ แต่กลับฉายแสงด้วยตัวเอง แม้บางสื่อจะไม่จัดเขาไว้ในลิสต์ “Top 50 All-Time” แต่นักบาสรุ่นใหม่ ที่ฝันอยากจะเป็นกำแพงให้ทีม ต่างก็รู้ดีว่า ถ้าอยากปีนขึ้นไปถึงระดับแนวหน้า คุณต้องผ่านเบน วอลเลซให้ได้ก่อน
เพราะเขาใช้พลังใจ และเกมรับเป็นอาวุธหลัก ทุ่มเทให้ทีมอย่างไร้เงื่อนไข และไม่เคยถอยแม้จะต้องสู้กับผู้เล่นที่สูง หรือดังกว่า เขาคือหนึ่งในไม่กี่คน ที่เปลี่ยนเกมได้โดยไม่ต้องทำแต้ม
สิ่งที่ควรเรียนรู้จากเบน วอลเลซคือ “หัวใจ” ที่ไม่ยอมแพ้ และการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้เด่นที่สุด ในสายตาคนดู แต่กลับสำคัญที่สุดในสายตาทีม

