สไปด้า ไฟว์ การ์ดที่ปีนขึ้นไปหาที่สูงกว่าในเพลย์ออฟ

สไปด้า ไฟว์

สไปด้า ไฟว์ โดโนแวน มิตเชลล์ (Donovan Mitchell) คือนักบาสที่เดินทางในลีก ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นสายพลัง ผู้เล่นสาย IQ และผู้เล่นสายจินตนาการ โดยไม่สังกัดหมวดหมู่ใดเลย แต่ทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนในทุกเพลย์ และคำว่าสไปด้าไฟว์ คือภาพแทนของความลื่นไหล ความแข็งแรง และความยืดหยุ่น

  • เจาะลึกฉายาสไปด้าของโดโนแวน มิตเชลล์
  • จุดแข็งที่เด่นที่สุดของมิตเชลล์ในปี 2024-25
  • ข้อเท็จจริงของเสียงวิจารณ์ ที่บอกว่ามิตเชลล์ overrated

จุดกำเนิดของ “Spida” และสไตล์การเล่นที่หาตัวจับยาก

ชื่อเล่นสไปด้า (Spida) ไม่ใช่แค่คำเท่ๆ แต่มาจากการที่เขามีแขนยาว เคลื่อนไหวไว และมีการตอบสนองในแนวตั้ง ที่เร็วแบบสัตว์มีแปดขา ซึ่งฉายานี้มีจุดเริ่มต้น ในช่วงที่เขาเล่นในระดับมหาวิทยาลัยกับ Louisville โดยมาจากพ่อของเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่ง ที่ชอบตั้งฉายาให้ผู้เล่นทุกคน

เขาเห็นวิธีการเคลื่อนไหวของโดโนแวน มิตเชลล์แล้วพูดว่า “You spin webs like a spider” และตั้งชื่อให้ว่า “Spida/Spider” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และชื่อเล่นนี้ก็ติดตัวมิตเชลล์มาตลอดจนถึง NBA (28 เมษายน 2025) [1]

ในสนาม บ่อยครั้งที่เขาปรากฏตัว ในมุมที่ไม่คาดคิด บุกทะลุแนวรับที่ปิดแน่นที่สุด หรือจู่โจมจากการเปลี่ยนจังหวะ อย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่ใช่ point guard เต็มตัว ไม่ใช่ pure shooter แต่เป็นเพลย์เมกเกอร์ จากปีกที่ควบคุมจังหวะเกม ได้แบบที่ทีมต้องยกให้เป็นตัวหลัก

จาก Louisville สู่ Utah แล้วบินต่อที่ Cleveland

สไปด้า ไฟว์

มิตเชลล์ถูกดราฟต์ในปี 2017 โดยเดนเวอร์ นักเก็ตส์ (Denver Nuggets) ในอันดับที่ 13 แต่ถูกเทรดไปยูทาห์ แจ๊ซ (Utah Jazz) ทันที ซึ่งเป็นดีลที่ในภายหลัง หลายคนมองว่า เป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยน ที่ทีมแจ๊ซคุ้มค่าที่สุด

ที่นั่นโดโนแวน มิตเชลล์ไม่เพียงแค่กลายเป็นผู้เล่นแฟรนไชส์ แต่ยังเข้ารอบเพลย์ออฟตลอด 5 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม และมีไฮไลต์คือซีรีส์ดวล 57 แต้มกับ นักล่า รอบไฟนอลส์ อย่างจามัล เมอร์เรย์ (Jamal Murray) ในปี 2020 ที่ยังถูกพูดถึงจนทุกวันนี้ (31 สิงหาคม 2020) [2]

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดภายในกับ Rudy Gobert และการที่ทีมหยุดอยู่แค่รอบแรก หรือรอบสองเสมอ ทำให้การรีบูต กลายเป็นทางเลือกของทั้งสองฝ่าย การย้ายมา Cleveland Cavaliers ในปี 2022 กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเขา ในทีมที่เต็มไปด้วยพลังหนุ่ม และความทะเยอทะยาน

มิตเชลล์ในปัจจุบัน หัวใจเกมรุกที่กำลังถูกทดสอบ

ฤดูกาล 2024-25 มิตเชลล์คือศูนย์กลางของคลีฟแลนด์ คาเวเลียร์สอย่างแท้จริง เขามีคะแนนเฉลี่ย 24.0 แต้ม 4.5 รีบาวน์ 5.0 แอสซิสต์ ต่อเกม (5 ตุลาคม 2025) [3]

แต่ตัวเลขก็เป็นเพียงเปลือก การใช้งานโดโนแวน มิตเชลล์ในทีมภายใต้โค้ช J.B. Bickerstaff ต้องรับภาระทั้งการทำแต้ม จัดเกม และเล่นเกมรับบางจังหวะ แถมยังต้องจัดการความสัมพันธ์ภายในทีม โดยเฉพาะกับ Darius Garland ที่บางเกมดูลงล็อก แต่บางเกมก็ดูขัดกัน

เพลย์ออฟ 2025 การทดสอบขีดจำกัดของสไปด้า

ในรอบแรก คาเวเลียร์สเอาชนะ ไมอามี ฮีท แบบ 4-0 อย่างเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่โดโนแวน มิตเชลล์เล่นได้สมบูรณ์แบบที่สุด เขาคือ MVP ของซีรีส์คุมจังหวะเกม ชู้ตได้อย่างแม่นยำ และมีส่วนร่วมในเกมรับ มากกว่าที่ใครคาดการณ์ไว้

มิตเชลล์แทบจะเป็นตัวหลักทั้งในเกมรุก และในห้องแต่งตัว แต่เมื่อเข้าสู่รอบสองกับ อินเดียนา เพเซอร์ส ทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อเขาได้รับอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อน่อง (calf strain) จนต้องออกจาก Game 4 ซึ่งเป็นช่วงที่คาเวเลียร์ส กำลังพยายามตีเสมอซีรีส์

การขาดมิตเชลล์ ทำให้ทีมเสียจังหวะอย่างรุนแรง และแพ้ซีรีส์นั้นในที่สุด แม้ตลอดซีรีส์ เขาจะทำแต้มเฉลี่ยมากกว่า 30+ แต้มต่อเกมก็ตาม คำถามจึงเกิดขึ้นทันทีว่า ถ้าไม่มีอาการบาดเจ็บครั้งนั้น เขาจะสามารถพาคาเวเลียร์ส ไปได้ไกลแค่ไหน และขีดจำกัดของสไปด้าจริงๆ อยู่ที่ไหนกันแน่

เสียงจากแฟนบางส่วน “มิตเชลล์เก่งจริง หรือแค่สถิติสวย”

สไปด้า ไฟว์

โดยเฉพาะกลุ่มที่ติดตาม การจัดอันดับผู้เล่น ชี้ว่า มิตเชลล์ถูกมองว่า overrated เพราะแม้จะมีสถิติสวยหรู แต่ไม่สามารถพาทีมเข้ารอบลึกๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของเพลย์ออฟ เขามักถูกตั้งคำถามเรื่อง shot selection และภาวะผู้นำในสนาม

อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งกลับมองว่าเขาคือ underrated ที่ไม่เคยได้ทีมที่เข้าขา ระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับจุดแข็ง หรือคู่หู ที่สามารถแบ่งภาระได้จริงจัง ในยามคับขัน นักวิเคราะห์บางคน เปรียบมิตเชลล์กับเดวิน บุ๊คเกอร์ในยุคก่อนเควิน ดูแรนท์

เป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพสูง แต่ต้องแบกทีม แบบไร้เครื่องมือเสริม และมักถูกตัดสินจากชัยชนะของทีม มากกว่าคุณภาพของการเล่นแบบปัจเจก ในความเป็นจริง มิตเชลล์อาจเป็นตัวอย่างของผู้เล่นที่ดี เกินกว่าจะเป็นมือสอง แต่ยังขาดองค์ประกอบรอบตัว เพื่อไปสู่การเป็นแชมป์

คำแนะนำ ถ้าคุณเป็นแฟนสไปด้า

อย่ามองโดโนแวน มิตเชลล์เป็นแค่ผู้เล่น highlight maker แต่จงสังเกตเกมไร้บอล การกดดันแบบ soft double team ที่เขาดึงมาช่วย Garland การเคลื่อนที่ออกจากมุม และการเปลี่ยนสปีดอย่างแนบเนียน ในจังหวะที่ทีมต้องการความเร็ว

ไม่ใช่ทุกครั้ง ที่เขาจะพาทีมชนะ แต่เกือบทุกครั้ง ที่ทีมพอจะมีโอกาส มิตเชลล์คือเหตุผลหลักของโอกาสนั้น

สรุปแล้ว สไปด้า ไฟว์ คือนักบาสที่ไม่ได้พยายามเป็นฮีโร่

สุดท้ายแล้ว สไปด้า ไฟว์ “โดโนแวน มิตเชลล์” ไม่ได้พยายามเป็นฮีโร่ แต่ทีมรอบตัว กลับผลักเขาขึ้นมาเป็นอย่างนั้นโดยอัตโนมัติ และทุกครั้งที่เขาพยายามเล่นเป็นทีม เสียงวิจารณ์ก็มักบอกว่าเขา “ไม่เด็ดขาดพอ” ทั้งที่ความจริง เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่มี usage rate สูงแต่ turnover ต่ำอย่างคงเส้นคงวา

ทำไมโดโนแวน มิตเชลล์ถึงได้ชื่อเล่นว่าสไปด้า ?

มิตเชลล์ได้ฉายานี้ จากพ่อของเพื่อนร่วมทีมที่ Louisville ซึ่งชอบตั้งชื่อให้ผู้เล่นทุกคน และเขามองว่ามิตเชลล์ เคลื่อนไหวได้เหมือนแมงมุม จึงตั้งชื่อให้ว่าสไปด้า คำนี้จึงติดตัวเขามาจนถึงปัจจุบัน

อะไรคือข้อจำกัดสำคัญ ที่ยังฉุดมิตเชลล์อยู่ ?

มิตเชลล์ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเอง ในรอบลึกของเพลย์ออฟได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบางจังหวะ เขายังถูกวิจารณ์เรื่อง shot selection และการ “เร่งจังหวะผิดเวลา” โดยเฉพาะในสถานการณ์ clutch ที่มักถูกจับตามากเป็นพิเศษ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง