สไนเปอร์ ล่องหน กับบทบาทที่ไม่เคยอยู่ในไฮไลต์

สไนเปอร์ ล่องหน

สไนเปอร์ ล่องหน เควิน เฮอร์เตอร์ (Kevin Huerter) อาจไม่ใช่ชื่อแรก ที่ใครจะนึกถึง เมื่อพูดถึงมือแม่นแห่งยุค แต่หากคุณเป็นแฟนบาสตัวจริง คุณย่อมรู้ว่าชายผมแดงคนนี้ คือหนึ่งในมือชู้ต ที่ล่องหนได้ดีที่สุดในลีก และความล่องหนนั้น ไม่ได้หมายถึงการไร้ตัวตน แต่คือคำชมในเชิงยุทธศาสตร์

  • จุดเด่นของเควิน เฮอร์เตอร์ที่มักถูกมองข้าม
  • บทบาทใหม่ของเฮอร์เตอร์ในทีมชิคาโก บูลส์ที่ต่างจากเดิม
  • เสียงวิจารณ์หลักๆ เกี่ยวกับเฮอร์เตอร์

พื้นฐานของสไนเปอร์ล่องหน จากนิวยอร์กสู่ NBA

เควิน เฮอร์เตอร์เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1998 ที่ Albany รัฐนิวยอร์ก เขาเริ่มต้นเส้นทางใน NBA ด้วยการถูกดราฟต์โดย Atlanta Hawks ในปี 2018 ด้วยอันดับที่ 19 ของรอบแรก ซึ่งถือเป็นอันดับ ที่สะท้อนความคาดหวังในระดับกลางๆ ไม่ถึงขั้นดาวเด่น แต่ก็มีศักยภาพให้ลุ้น (28 มิถุนายน 2025) [1]

เฮอร์เตอร์กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ในฐานะนักชู้ตแม่นที่เฉียบคม โดยเฉพาะการชู้ตระยะไกล ที่มักพาทีมได้คะแนนสำคัญ อีกทั้งยังมีทักษะการเคลื่อนไหว โดยไม่ต้องครองบอล ซึ่งทำให้เขาเล่นได้กลมกลืน ในแทคติกของหลายทีม และสร้างปัญหาให้แนวรับได้ โดยไม่ต้องมีบอลในมือ

สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่าง คือความสามารถในการ “โผล่มาในพื้นที่ ที่ไม่มีใครระวัง” เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่ขอบอลเพื่อโชว์ แต่เป็นคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้าฉาก และมักปรากฏตัวในจังหวะที่เกม ต้องการความเฉียบคมมากที่สุด

การเคลื่อนไหวที่ไร้เสียง แต่เปลี่ยนเกมได้ของเฮอร์เตอร์

สไนเปอร์ ล่องหน

สไตล์การเล่นของเฮอร์เตอร์ คือการใช้การเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด แม้จะไม่ได้มีความเร็วจัดจ้าน หรือพลังระเบิด แบบผู้เล่นสายไฮไลต์ แต่เฮอร์เตอร์กลับมีทักษะเฉพาะ ที่สร้างผลลัพธ์ได้ไม่แพ้กัน นั่นคือความแม่นยำ ในการเลือกตำแหน่ง และจังหวะการเคลื่อนที่ ที่อ่านเกมได้ขาด

เขามักจะไม่อยู่ในสายตาผู้เล่นรับ จนกระทั่งเขาปรากฏตัว ตรงมุมสนาม ในท่าที่พร้อมรับบอลเพื่อชู้ตในจังหวะเดียว แบบไร้ความลังเล หรือแม้แต่แค่การเคลื่อนตัวหลอก เพื่อเปิดทางให้เพื่อน ก็เป็นอีกบทบาท ที่เขาทำได้อย่างแนบเนียน

แมตช์ที่เควิน เฮอร์เตอร์มีบทบาทสูง มักไม่ใช่เกมที่เขาทำแต้มสูงลิ่วเสมอไป แต่คือเกมที่เขาสร้างแรงถ่วง ให้แนวรับต้องคิดหนักทุกครั้ง ที่เขาเคลื่อนไหว

ผลงานในช่วงหลัง เส้นทางที่ต้องพิสูจน์ใน Chicago Bulls

หลังจากทำผลงานโดดเด่นกับ Atlanta Hawks จนได้เทรดมาสู่ Sacramento Kings ในฤดูกาล 2022-23 เฮอร์เตอร์เคยเป็นหนึ่งใน “มือสไนเปอร์” ที่ช่วยผลัก Kings สู่เพลย์ออฟ ด้วยสถิติ 15.2 แต้มต่อเกม และค่าเฉลี่ยการชู้ตสามแต้ม ที่สูงถึง 40.2%

  • แต่ในฤดูกาล 2023-24 เขาประสบกับช่วงเวลาที่ฟอร์มตก ชู้ตสามแต้มเหลือแค่ 36.1% และนาทีในสนามลดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเป้าโจมตีจากแฟนๆ และสื่อในบางช่วง (5 ตุลาคม 2025) [2]
  • ฤดูกาล 2024-25 จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เฮอร์เตอร์ถูกเทรดไป Chicago Bulls ในดีลที่แทบไม่มีคนพูดถึงนัก แต่ผลกระทบกลับเกินคาด
  • ในเกมวันที่ 13 เมษายน 2025 กับ 76ers เฮอร์เตอร์ทำไป 18 แต้มในเวลาเพียง 16 นาที จากม้านั่งสำรอง ช่วยให้ Bulls พลิกสถานการณ์เข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาลอย่างน่าจับตา (14 เมษายน 2025) [3]

 

บทบาทของเฮอร์เตอร์ เปลี่ยนจากผู้เล่นตัวจริง มาเป็น “มือสังหารสำรอง” ที่ทีมสามารถดึงมาใช้เฉพาะบางสถานการณ์ และนั่นอาจคือบทบาท ที่เหมาะกับเขามากที่สุดในตอนนี้

จุดที่เฮอร์เตอร์ยืนอยู่ เมื่อเทียบกับสไนเปอร์ยุคเดียวกัน

  • เคลย์ ธอมป์สัน (Klay Thompson) – คลาสสิค มีจังหวะชู้ตสม่ำเสมอ และเล่นเกมรับได้ดี ทำให้สามารถอยู่ในสนาม ได้ตลอดทั้งสองฝั่งของเกม
  • บัดดี้ ฮีลด์ (Buddy Hield) – ชู้ตเยอะ ชู้ตเร็ว มีระยะชู้ตที่ลึก เกินมาตรฐาน และพร้อมชู้ตได้จากทุกมุมสนาม ทันทีที่ได้รับบอล
  • โจ แฮร์ริส (Joe Harris) – เกมรุกมีระเบียบแบบแผน ไม่ดื้อ ไม่ฝืนจังหวะ แต่ก็ขาดความหลากหลาย ในการสร้างจังหวะชู้ตของตัวเอง

 

เมื่อมองเฮอร์เตอร์ในบริบทนี้ เขาอาจจะไม่เด่นสุด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เขามีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่ผสมกลมกลืนได้กับหลายระบบ เขาอาจไม่ใช่มือชู้ต ที่ชู้ตแม่นที่สุด แต่เป็นคนที่รู้ว่าควรชู้ตที่ไหน เมื่อไหร่ เพื่อให้ทีมได้ประโยชน์สูงสุด

บทพิสูจน์ที่ยังไม่จบ เมื่อสไนเปอร์ล่องหนถูกจับตามอง

สไนเปอร์ ล่องหน

แม้จะเคยมีช่วงที่ฟอร์มพุ่งทะยาน โดยเฉพาะในซีซั่นแรกกับ Sacramento Kings แต่ในฤดูกาลถัดมา เฮอร์เตอร์กลับถูกวิจารณ์อย่างหนัก เรื่องความไม่สม่ำเสมอของฟอร์มการเล่น โดยเฉพาะในเกมใหญ่ หรือเกมที่ทีมต้องการแต้มจากเขา เขากลับเงียบหายไปจากเกมรุก บางนัดชู้ตไม่ถึง 6 แต้ม

เสียงวิจารณ์ไม่ได้หยุด แค่เรื่องตัวเลข แต่ยังรวมถึงด้านจิตใจ มีผู้สังเกตว่า เมื่อความมั่นใจลดลง ฟอร์มของเขาก็จะดิ่งตามอย่างชัดเจน บางคนถึงกับมองว่า เขาเหมาะกับการเล่นในระบบที่เปิดโอกาส แบบไม่มีแรงกดดัน มากกว่าจะเป็นฟันเฟืองหลัก ในทีมที่หวังผลแพ้ชนะทุกค่ำคืน

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า การย้ายมาชิคาโก บูลส์ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจน และต้องการผลลัพธ์ทันที จะเป็นแรงกระตุ้น ที่พาเขากลับมาได้ไหม หรือจะกลายเป็นบทพิสูจน์สุดท้ายว่า “มือซัดล่องหน” อย่างเขา สามารถยืนหยัด ภายใต้ความคาดหวังได้จริงหรือไม่

กลยุทธ์เชิงจิตวิทยา & ระบบรองรับ

การมีเฮอร์เตอร์อยู่ในสนาม คือการบังคับให้แนวรับของคู่แข่ง ต้องยืดออกกว้างกว่าปกติ เพราะเพียงแค่เขา ยืนอยู่บริเวณเส้นสามแต้ม ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้กองหลัง ไม่กล้าทิ้งตัวเขาไว้ลำพัง แม้ในเกมนั้น เขาจะยังไม่ได้ชู้ตเลยก็ตาม

ในบางแผนของโค้ชชิคาโก บูลส์ จะออกแบบให้เฮอร์เตอร์ เคลื่อนไหวแบบไร้บอล อย่างเช่น ghost cut หรือ flare screen เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของแนวรับ บางครั้งแค่การวิ่งของเขา ก็ทำให้ผู้เล่นอีกฝั่งหลุดตำแหน่ง เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม ได้ชู้ตแบบโล่งๆ

ที่สำคัญคือเควิน เฮอร์เตอร์เข้าใจบทบาท ในฐานะ “decoy” หรือเหยื่อล่อ ได้เป็นอย่างดี และยอมรับหน้าที่นี้ โดยไม่มีอีโก้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยาก ในผู้เล่นยุคปัจจุบัน ที่มักต้องการเป็นจุดเด่นในทุกเพลย์

บทส่งท้าย สไนเปอร์ ล่องหน ที่เปลี่ยนเกมได้เสมอ

ท้ายที่สุดแล้ว สไนเปอร์ ล่องหน “เควิน เฮอร์เตอร์” อาจไม่ใช่ชื่อที่ถูกจดจำในฐานะ All-Star หรือฮีโร่ในไฮไลต์ NBA Top 10 แต่เขาคือนักบาส ที่มีบทบาทสำคัญเสมอ และคำว่าล่องหน ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีตัวตน แต่เพราะเขาเลือกจะล่องหน ในเวลาที่คู่แข่งเผลอ และปรากฏตัวอีกที พร้อมระเบิดสามแต้ม

ทำไมบทบาท “decoy” ถึงสำคัญใน NBA ยุคปัจจุบัน ?

เพราะทีมส่วนใหญ่ เน้นเกมรุกที่เร็ว และกระจายตัวทั่วสนาม การมีนักชู้ตที่ยอมรับบทล่อเป้า แม้จะไม่ได้เป็นคนจบสกอร์เอง แต่สามารถเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมได้ คือสิ่งล้ำค่าสำหรับทีมระดับแข่งขันสูง

เฮอร์เตอร์มีอิทธิพลต่อจังหวะเกม แม้ไม่ได้ชู้ตอย่างไร ?

เพียงแค่การเคลื่อนไหวของเฮอร์เตอร์ ก็เพียงพอจะบังคับแนวรับให้ยืดออก เพราะกองหลังไม่สามารถละสายตาจากเขาได้ จึงเกิดช่องว่างในแดนหลัง ที่เพื่อนร่วมทีมสามารถใช้ทำแต้มได้ง่ายขึ้น

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง