
สุนัขสายแฟ ตัวพ่อ ที่ใส่แบรนด์หรูตั้งแต่หัวจรดหาง
- Harry P
- 113 views
สุนัขสายแฟ ตัวพ่อ ในยุคที่แฟชั่น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกของมนุษย์ เพราะสุนัขก็กลายเป็นดาวเด่น แห่งวงการแฟชั่นได้เช่นกัน สวมใส่แบรนด์หรู ตั้งแต่หัวจรดหาง พร้อมอินสตาแกรม ที่มีผู้ติดตามหลักแสน ถึงหลักล้าน มีสไตลิสต์ส่วนตัว และไลฟ์สไตล์ ที่หรูหราเกินกว่านายแบบคนใด จะเทียบได้
สุนัขสายแฟ ตัวพ่อ หนึ่งในสุนัขที่โดดเด่นที่สุดในโลก คงหนีไม่พ้น “บูบี้บิลลี่” (Boobie Billie) สุนัขพันธุ์อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์ (Italian Greyhound) ผสม ชิวาวา (Chihuahua) ที่กลายเป็น แฟชั่นนิสต้าระดับโลก ด้วยลุคที่ใครเห็น ก็ต้องหยุดเลื่อนฟีด
บูบี้ไม่เพียงแต่ใส่แบรนด์หรูอย่าง Gucci, Prada, Hermès และ Balenciaga เท่านั้น แต่เธอยังมีสไตล์ที่ชัดเจน มีชุดประจำวัน ที่หลากหลายแนว ตั้งแต่ลุคสำหรับไปเดินเล่น จนถึงลุคทางการสำหรับ “อีเวนต์แฟชั่น” เสมือนจริงบนโลกโซเชียล เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “แฟชั่นแบบเหนือมนุษย์”
เจ้าของบูบี้ คือแฟชั่นดีไซเนอร์ในนิวยอร์ก ที่ไม่ใช่แค่แต่งตัวให้บูบี้ แต่ยังสร้างแบรนด์ Boobie’s World โดยวางขายสินค้า ทั้งสำหรับคน และสุนัข ไม่ว่าจะเป็นแว่น กระเป๋า หรือรองเท้า ที่ถูกออกแบบในสไตล์เดียวกับบูบี้ จุดนี้จึงทำให้บูบี้ไม่ได้เป็นแค่ “ผู้สวมใส่” แต่เป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างแบรนด์ [1]
อีกหนึ่งชื่อที่ต้องเอ่ยถึงคือ “ติก้า อิ๊กกี้” (Tika the Iggy) สุนัขสายพันธุ์อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์เช่นกัน อยู่ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา อินสตาแกรมของติก้า มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคน และวิดีโอใน TikTok ของเธอ ก็เคยไวรัลแบบถล่มทลาย จากคลิป “No more parties” [2]
ที่ใส่ชุดแฟชั่นหลายสิบชุด แล้วทำท่าเบื่อโลกเพราะ “ไม่มีงานให้ไป” ติก้าเป็นมากกว่าสุนัข เธอคือดาราอินเทอร์เน็ต ที่มีบุคลิกเฉพาะ สวมเสื้อผ้า ที่ออกแบบตัดเย็บมาเป็นพิเศษ เพื่อเข้ากับรูปร่าง ที่ผอมเพรียวแบบเกรย์ฮาวด์ มีหลากหลายลุค ตั้งแต่พรมแดง ไปจนถึงชุดปาร์ตี้ธีมอลังการ
ความโดดเด่นของติก้า คือการที่เจ้าของ สามารถใช้แฟชั่นเพื่อ “เล่าเรื่อง” ได้ทุกวัน แฟนๆของเธอ ไม่เพียงแต่ติดตามเพื่อชมชุดใหม่ๆ แต่ยังรอคอยคำบ่น แบบประชดประชัน ในแบบที่คนเมืองยุคนี้ เข้าถึงได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนวัฒนธรรม “การอยากเป็นส่วนหนึ่ง” ที่แฝงอยู่ในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล
ปรากฏการณ์สุนัขสายแฟ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่ง ของความเปลี่ยนแปลง ในวิธีที่เรามองสัตว์เลี้ยง ในศตวรรษที่ 21 พวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวอีกต่อไป แต่เป็น “บุคคลสาธารณะ” ที่มีอัตลักษณ์ มีผู้ติดตาม และมีพลังทางการตลาด ในระดับเดียวกับคนจริงๆ [3]
สุนัขบางตัวมีทีมงานคอยดูแล ทั้งช่างภาพ สไตลิสต์ ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย บางตัวเดินแบบจริงบนแคตวอล์คงานแฟชั่น หรือเป็นพรีเซนเตอร์ ให้แบรนด์ดังๆ มีการวางแผนคอนเทนต์ ล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ มีการถ่ายทำวิดีโอโปรโมตสินค้า และแม้กระทั่ง มีเสื้อผ้าที่ “สั่งตัดเฉพาะ” กับห้องเสื้อชื่อดัง
นี่คือการสื่อสารแบบใหม่ ที่แบรนด์หันมาจับมือกับสัตว์เลี้ยงชื่อดัง เพราะพวกเขาเข้าถึงผู้ชม ได้แบบไร้แรงต้าน ต่างจากการใช้ดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์ทั่วไป ที่อาจมีภาพลักษณ์ชัดเจนเกินไป สุนัขเหล่านี้คือ “ผืนผ้าเปล่า” ที่สามารถสื่อสารได้หลายโทน ตั้งแต่หรูหรา สนุกสนาน ไปจนถึงเรียบง่ายน่ารัก
ในขณะที่แฟชั่นหมาๆ กำลังเป็นที่นิยม ก็เริ่มมีเสียงสะท้อน ในประเด็นด้านจริยธรรมเช่นกันว่า การแต่งตัวสัตว์เกินความจำเป็น หรือจัดฉากถ่ายทำมากเกินไปนั้น เหมาะสมหรือไม่ เพราะในท้ายที่สุด สุนัขก็ไม่สามารถ “เลือก” หรือ “แสดงออก” ได้ในแบบเดียวกับมนุษย์
บางกรณีเจ้าของอาจเข้าใจ และรับฟังภาษากาย ของสุนัขได้ดี อย่างเวลาสุนัขแสดงความไม่สบายใจ หูจะตก ตัวแข็ง ไม่ยอมเดิน หรือเลียปากบ่อยๆ เจ้าของที่ใส่ใจ ก็มักจะหยุดการถ่ายทำ และจัดลำดับความสำคัญใหม่ ให้กับความสบายใจของสุนัข เป็นอันดับแรก
ประเด็นนี้ยังคงถกเถียงกันต่อไป แต่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า การที่สัตว์เลี้ยงจะเป็น “เซเลบ” ได้นั้น เจ้าของต้องมีความรับผิดชอบ มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถให้สุนัขของตัวเองใส่ Gucci หรือ Hermès ได้ การที่สัตว์เลี้ยง กลายเป็นผู้บริโภคแบรนด์หรู สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลง ในโครงสร้างของ “ชนชั้นกลางระดับบน” ที่ไม่ได้แค่บริโภค เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่ยังขยายไปถึงสมาชิกทุกคนในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยง
สำหรับบางครอบครัว การแต่งตัวให้สุนัข ไม่ใช่แค่ความสนุก หรือความรัก แต่เป็นวิธี “ส่งสาร” ถึงสังคมว่า “เราสามารถเข้าถึง สิ่งที่เป็นที่สุดของรสนิยมได้ ไม่ใช่แค่ในนามของมนุษย์ แต่ในทุกมิติของชีวิต” ซึ่งนี่คือแก่นแท้ ของสิ่งที่เรียกว่า Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม ที่พูดแทนสถานะ
คำถามสำคัญที่น่าคิดต่อคือ ทำไมหลายคนถึงรู้สึก “เชื่อมโยง” หรือ “ติดตามอย่างจริงจัง” กับสุนัขสายแฟเหล่านี้มากกว่าคนจริง
ส่วนหนึ่งอาจเพราะพวกเขาไร้คำพูด ไม่มีดราม่า แต่สื่อสารผ่าน “อารมณ์” บนใบหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่สีเสื้อผ้าเป็น emotional language แบบที่ทุกคนเข้าใจ โดยไม่ต้องมีภาษากลาง
และเหนือสิ่งอื่นใด การได้เห็นใครบางตัว (ที่ไม่ใช่คน) ใช้ชีวิตแบบเกินจริง มักสะท้อนความปรารถนาในใจคนดู ที่อยากจะหลุดจากข้อจำกัด ของชีวิตประจำวัน สุนัขที่ใส่แบรนด์หรู จึงกลายเป็นภาพแทนของ “ชีวิตที่เราอยากมี แต่ไม่กล้าทำ”
ท้ายที่สุดแล้ว ในโลกที่เต็มไปด้วยภาพความเพอร์เฟกต์บนหน้าจอ บางทีการได้เห็น “เจ้าหมาน้อยใส่ Prada” อาจไม่ได้ทำให้เราหลงใหล ในเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ทำให้เรารู้สึกว่า “เราก็อาจเป็นตัวเองได้มากขึ้น” เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ทั้งเหนือจริง และจริงใจในเวลาเดียวกัน
เพราะน้องหมาเหล่านี้ เข้าถึงผู้คนได้ง่าย น่ารัก ไม่มีดราม่า และช่วยสื่อสารไลฟ์สไตล์หรูหราได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เริ่มมีชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในหมู่เจ้าของที่ทำงานสายครีเอทีฟ เช่น ช่างภาพ แบรนด์ท้องถิ่น หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่เลี้ยงสัตว์ และมีรสนิยมในเรื่องแฟชั่น หลายคนสร้าง IG ให้หมา แต่งตัวให้อย่างมีธีม มีการจับมือกับร้านเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงเฉพาะทาง หรือแม้แต่ตัดเย็บเอง