
ทำความรู้จักกับ รีการ์ดู การ์วัลยู ตำนานกองหลัง
- sun-31
- 44 views

รีการ์ดู การ์วัลยู ตำนานกองหลัง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่ง ในกองหลังตัวกลางที่ดีที่สุดในยุคของเขา ซึ่งเจ้าตัวมีชื่อเสียงในเรื่องของความนิ่ง การอ่านเกมที่เฉียบขาด และการเข้าสกัดบอลที่สะอาดตา โดยเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง ภายใต้การคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ ทั้งที่สโมสร ปอร์โต้ เชลซี และเรอัล มาดริด เป็นต้น
สำหรับความเป็นมาของรีการ์ดู การ์วัลยู (Ricardo Carvalho) เกิดเมื่อวันที่ 18 เดือนพฤษภาคม 1978 ที่เมือง Amarante ในประเทศโปรตุเกส และเริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับสโมสร ปอร์โต้ (Porto) ซึ่งการ์วัลยูใช้เวลาในการพัฒนาฝีเท้า ในอะคาเดมี่ของปอร์โต้ ก่อนที่จะถูกปล่อยยืมตัวไปยังสโมสรต่างๆ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในระดับลีกสูงสุดของโปรตุเกส ซึ่งช่วยให้เขามีความแข็งแกร่ง และเชี่ยวชาญมากขึ้น
การถูกยืมตัวเหล่านี้ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาสามารถกลับมาสู่ทีมชุดใหญ่ ของปอร์โต้ได้อย่างเต็มตัวและพร้อมที่สุด นอกจากนี้ เขาเริ่มสร้างชื่อเสียง แถมยังกวาดรางวัลสำคัญภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง ในเวลาต่อมา
โดยเฉพาะการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2003-2004 ก่อนจะตามผู้จัดการทีม ไปประสบความสำเร็จต่อที่เชลซี ในฤดูกาล 2004 (22 กันยายน 2025) [1]
โดยเริ่มต้นพัฒนาฝีเท้าในฐานะกองหลัง ที่มีความครบเครื่อง ตั้งแต่สมัยเยาวชนกับสโมสรปอร์โต้ แม้จะถูกปล่อยยืมตัวไปหาประสบการณ์ กับสโมสรขนาดเล็กหลายแห่งในช่วงแรก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกาย และการตัดสินใจ
แต่เขากลับมาสู่ทีมชุดใหญ่ของปอร์โต้ ในช่วงฤดูกาล 2001-2002 และได้รับการยอมรับทันทีในเรื่อง การอ่านเกมที่เหนือชั้น และความนิ่งในการเล่น
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในอาชีพของเขาคือ การเข้ามาของโค้ช โชเซ่ มูรินโญ่ ในปี 2002 ซึ่งมองเห็นศักยภาพในการเป็นกองหลัง ระดับโลกของเขา มูรินโญ่ช่วยขัดเกลาให้การ์วัลยู กลายเป็นปราการหลังตัวกลางที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านเทคนิคและแทคติก จนเป็นกำลังสำคัญในการพาปอร์โต้ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก่อนที่ทั้งคู่จะย้ายไปเชลซี ในปีเดียวกัน
สถิติการลงเล่นให้กับทีมต้นสังกัด
ข้อมูลเชิงตัวเลขในการรับใช้ทีมชาติ โปรตุเกส

โดยช่วงเวลาสำคัญที่สุด ในระดับสโมสรของรีการ์ดู การ์วัลยู เกิดขึ้นที่ปอร์โต้ ในฤดูกาล 2003-2004 เมื่อเขานำทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ผลงานอันยอดเยี่ยมในฤดูกาลนั้น ทำให้เขาได้รับรางวัล กองหลังยอดเยี่ยมของยูฟ่า และเป็นแรงผลักดันให้เขาย้ายไปร่วมทีมเชลซี ในปีเดียวกัน
ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จ ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก สองสมัยติดต่อกันทันที สำหรับในระดับทีมชาติโปรตุเกส การ์วัลยูถือเป็นกำลังสำคัญในแนวรับของทัพฝอยทอง มาอย่างยาวนาน โดยช่วงเวลาที่โดดเด่นที่สุดคือ การเป็นหนึ่งในปราการหลังตัวหลัก ของทีมที่คว้าแชมป์ ยูโร 2016 ได้สำเร็จ
แม้ว่าในรอบน็อคเอาท์ เขาจะไม่ได้เป็นตัวจริง แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์นี้มาครองได้สำเร็จ
โดยรีการ์ดูการ์วัลยูนั้น เข้ามาสู่ทีมเชลซีในปี 2004 พร้อมกับผู้จัดการทีม โชเซ่ มูรินโญ่ และรับบทบาทเป็น กองหลังตัวกลางคนสำคัญทันที เขาถูกยกย่องจากบทบาทในแนวรับ ที่เน้นการอ่านเกม และการยืนตำแหน่งที่เหนือกว่า การเข้าปะทะแบบใช้กำลัง
ซึ่งทำให้เขาสามารถประสานงานกับ จอห์น เทอร์รี ได้อย่างลงตัว สร้างแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 15 ประตู ในฤดูกาลแรก ในช่วงพีคของอาชีพกับเชลซี ซึ่งเป็นยุคที่สโมสรเติบโตอย่างก้าวกระโดด ค่าเหนื่อยของการ์วัลยู ซึ่งเป็นผู้เล่นตัวหลักระดับโลกและทีมชาติ คาดว่าอยู่ในช่วง 80,000 ถึง 100,000 ต่อสัปดาห์
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงมูลค่า และความสำคัญของเขาต่อความสำเร็จ ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และถ้วยอื่นๆ ของสโมสร และในช่วงฤดูกาล 2010-2011 เขาได้รับค่าเหนื่อยอยู่ 8 ล้านยูโร (22 กรกฎาคม 2022) [2]
ที่มา: Ricardo Carvalho (2025) [3]
แง่มุมน่าสนใจเกี่ยวกับ รีการ์ดูการ์วัลยู ตำนานกองหลัง คือหนึ่งในกองหลังตัวกลางชาวโปรตุเกสที่เก่งกาจที่สุดในยุคของเขา เขาเป็นที่รู้จักในเรื่อง การอ่านเกมที่หลักแหลม และการเข้าสกัดที่นุ่มนวล โดยประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับปอร์โต้ และเป็นปราการหลังตัวหลักของเชลซี ในยุคมูรินโญ่ รวมถึงคว้าแชมป์ยูโรกับทีมชาติ
ช่วงเวลาสำคัญที่สุด ในอาชีพของรีการ์ดูการ์วัลยู คือช่วงปี 2004 ซึ่งเขาพาทีมปอร์โต้ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้รับรางวัลกองหลังยอดเยี่ยมของยูฟ่า หลังจากนั้น เขาได้ย้ายไปร่วมทีมกับเชลซี และสร้างปราการหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีก จนคว้าแชมป์ลีกสองสมัยติด เป็นการยืนยันสถานะกองหลังระดับโลกอย่างแท้จริง
ซึ่งเรื่องราวของรีการ์ดูการ์วัลยู ที่ยังคงอยู่ในใจแฟนบอลคือ ความทุ่มเทในทุกจังหวะการเล่น และความเป็นมืออาชีพที่ไร้ที่ติ แฟนบอลจดจำเขาได้ในฐานะกองหลัง ที่เล่นอย่างชาญฉลาด ไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะอย่างรุนแรง แต่ใช้การอ่านเกมที่แม่นยำ เพื่อหยุดการบุกของคู่ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแบบอย่างของกองหลัง ที่ใช้สมองนำพละกำลัง

