
มิดไนท์ อินเฟอร์โน เปลวไฟที่ไม่เรืองแสงตลอดเวลา
- Harry P
- 49 views

มิดไนท์ อินเฟอร์โน จอร์แดน คลาร์กสัน (Jordan Clarkson) ไม่ใช่ผู้บัญชาการเกม แต่เขาคือเปลวไฟในความมืด ไฟที่ถูกจุดขึ้นในยามค่ำคืน ยามที่ทีมต้องการจุดเปลี่ยน ยามที่เกมต้องการระเบิดพลังทันที และแม้เขาจะไม่สว่างไสวทุกคืน แต่เมื่อเขาติดไฟ ทุกคนจะหันมามอง
จอร์แดน คลาร์กสันเกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1992 ในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อเมริกัน ซึ่งทำให้เขาได้รับความสนใจ ทั้งใน NBA และวงการบาสเกตบอลฟิลิปปินส์
คลาร์กสันถูกดราฟต์ในอันดับที่ 46 ของปี 2014 โดย Washington Wizards แต่เขาไม่ได้รับโอกาส กับทีมนี้จริงๆ เส้นทางของเขาเริ่มต้นที่ Los Angeles Lakers ซึ่งเปิดพื้นที่ให้เขา ได้พิสูจน์ตัวเองท่ามกลางผู้เล่นรุ่นใหม่ ในฐานะการ์ดที่กล้าลุยทุกจังหวะ รุกได้ทุกระยะ และไม่กลัว ที่จะถือบอลในเวลาสำคัญ
หลังจากย้ายไป Cleveland Cavaliers ในปี 2018 คลาร์กสันเริ่มมีบทบาทชัดเจน ในฐานะ นักบาส ผู้พลิกเกม NBA ผู้เล่นสำรองที่ไม่ได้โดดเด่นตลอดเวลา แต่เริ่มแสดงให้เห็น ถึงความสามารถในการเปลี่ยนจังหวะเกม และสร้างพลังให้ทีมได้ จากม้านั่งสำรอง (27 ตุลาคม 2025) [1]
จุดเปลี่ยนที่แท้จริงของจอร์แดน คลาร์กสันเกิดขึ้นเมื่อเขา ถูกเทรดไป Utah Jazz ในปี 2019 ที่นี่เขาไม่ใช่แค่ผู้เล่นหมุนเวียนธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นมือชู้ตสำรอง ที่ทรงพลังระดับต้นๆของลีก เขาได้รับความเชื่อมั่นจากโค้ช และเพื่อนร่วมทีม ให้ทำหน้าที่ “จุดไฟ” จากม้านั่งอย่างเต็มที่
ฤดูกาล 2020-21 คือช่วงเวลาทอง คลาร์กสันเฉลี่ย 18.4 แต้มต่อเกม และคว้ารางวัล Sixth Man of the Year ไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี แม้ต่อมาในฤดูกาล 2024-25 เขาจะยังมีบทบาทเด่นในบางช่วง โดยเฉพาะเวลาที่ทีมต้องการพลังงาน
แต่ก็มีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บ ที่เท้าซ้าย (plantar fasciitis) ซึ่งทำให้ฟอร์มของคลาร์กสัน ไม่ต่อเนื่องนัก โดยจบฤดูกาลด้วยค่าเฉลี่ย 16.2 แต้ม 3.2 รีบาวด์ 3.7 แอสซิสต์ และเปอร์เซ็นต์ FG เพียง 40.8% ตัวเลขที่ยังห่างจากช่วงพีคของเขา (30 ตุลาคม 2025) [2]

กล้าทำ กล้าชู้ต
คลาร์กสันเป็นผู้เล่น ที่ไม่ลังเลในการตัดสินใจ เขาสามารถสร้างช็อตเองได้ทันที เมื่อได้บอล ไม่ว่าจะเป็นการดึงชู้ตระยะกลาง (mid-range), ชู้ตสามแต้ม หรือการเจาะเข้าหาห่วง ความหลากหลายนี้ ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกที่อันตราย เมื่อทีมต้องการเร่งเกม
สปีด และสัญชาตญาณในการบุก
เขามีจังหวะเคลื่อนไหว ที่เป็นธรรมชาติ รู้ว่าจะเร่งเมื่อไหร่ และหยุดเมื่อไหร่ จังหวะบุกของเขา มักทำให้แนวรับของคู่แข่งเสียจังหวะ ซึ่งเปลี่ยนความนิ่งของเกม ให้กลายเป็นพลังงานทันที
จิตวิญญาณ Sixth Man ที่แท้จริง
คลาร์กสันรู้ดีว่าหน้าที่ของเขา คือการขึ้นมาทำแต้มทันที ที่ลงสนาม เขาไม่ต้องการบอลนาน ไม่ต้องมีระบบซับซ้อน แค่ได้จังหวะก็สามารถทำคะแนนได้ทันที นี่คือคุณสมบัติที่โค้ชทุกคนไว้วางใจได้

เมื่อเดือนมิถุนายน 2025 คลาร์กสันตกลงยกเลิกสัญญา กับยูทาห์ แจ๊ซ และกลายเป็นผู้เล่นอิสระ ก่อนจะตัดสินใจเซ็นกับนิวยอร์ก นิกส์ ทีมที่มีทั้งความคาดหวังสูง และแรงกดดันจากแฟนบาส และสื่อในตลาดใหญ่ที่สุดของลีก
นิกส์ไม่ได้เซ็นคลาร์กสัน เพื่อมาเป็นสตาร์ แต่เขาคือ “อาวุธสำรอง” ที่ทีมต้องการอย่างแท้จริง การมีคลาร์กสันอยู่ในทีม เท่ากับว่านิกส์ได้ผู้เล่น ที่สามารถทำ 10-15 แต้มได้ในเวลาอันสั้น และหากวันไหนเขาร้อน เขาอาจเป็นคนเปลี่ยน ผลแพ้ชนะของเกมได้ทันที
แต่ในขณะเดียวกัน บทบาทของเขาก็ถูกจำกัดมากขึ้น นิกส์มีระบบที่ชัด มีตัวจริงที่แข็งแรง การสร้างสรรค์เกม ไม่ได้อยู่ที่คลาร์กสันเสมอไป ดังนั้นเขาจึงต้องปรับ mindset จากมือทำแต้มอิสระ เป็นผู้รับผิดชอบจังหวะสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องยาก สำหรับผู้เล่นที่เติบโตมากับอิสระ (8 กรกฎาคม 2025) [3]
ท้ายที่สุดแล้ว มิดไนท์ อินเฟอร์โน “จอร์แดน คลาร์กสัน” ไม่ใช่พระเอกของทุกเกม แต่เขาคือคนที่ทีมส่งลงมาจุดไฟเปลี่ยนเกม เขาไม่ต้องอยู่ในสนาม 35 นาที ไม่ต้องได้ usage rate สูงๆ แต่เมื่อถึงจังหวะที่ทีมต้องการพลัง คลาร์กสันคือคำตอบที่ดีเสมอ เขาคือเปลวไฟที่ทีมเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
เพราะจอร์แดน คลาร์กสันไม่ใช่ผู้เล่น ที่สว่างไสวตลอดเวลา แต่เมื่อถึงช่วงเวลา ที่ทีมต้องการเปลี่ยนเกมอย่างเร่งด่วน เขาคือเปลวไฟที่พร้อมลุกโชน จากม้านั่งสำรอง และเปลี่ยนจังหวะของการแข่งขันได้ ภายในไม่กี่วินาที
อย่าตัดสินจากแต้มเฉลี่ยเพียงอย่างเดียว ให้ดูว่าจอร์แดน คลาร์กสันสร้างแรงกระเพื่อมให้เกมได้ ในจังหวะไหน และเข้าใจว่า “ฮีโร่” บางคน ไม่ต้องอยู่บนเวทีตลอดเกม แค่ลุกขึ้นมาถูกเวลา ก็เพียงพอจะเปลี่ยนตอนจบได้

