
มิดเรนจ์ ดรีมสมิธ สมญานามแห่งระยะกลาง
- Harry P
- 71 views

มิดเรนจ์ ดรีมสมิธ คำเรียกขานนี้อาจไม่คุ้นหู ในโลกของ NBA ที่ถูกยึดครองโดยสามแต้ม และจังหวะเกมเร็ว แต่กับ อีแวน โฟร์เนียร์ (Evan Fournier) มันคือคำที่อธิบายตัวตนของเขา ได้ชัดเจนที่สุด เขาไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ ไม่ใช่ผู้นำทีม แต่เป็นนักสร้างสรรค์พื้นที่ระหว่างหัวใจเกม ที่เรียกว่า “midrange”
ในฤดูกาลล่าสุดกับ Detroit Pistons คือบทใหม่ที่ท้าทายโฟร์เนียร์ หลังจากช่วงเวลาที่ขมขื่นใน New York Knicks ซึ่งเขาแทบไม่ได้รับโอกาสลงสนาม โฟร์เนียร์กลับมาพร้อมความหวังว่า เขายังสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้ง ในฐานะ “มือชู้ตระดับกลาง” ที่ยังเชื่อในรูปแบบเกมแบบดั้งเดิม
แต่ความเป็นจริงของลีกในปัจจุบันคือ การจะอยู่รอดในทีมได้ ผู้เล่นต้อง fit in กับ spacing และ pace ใหม่ โฟร์เนียร์ที่เคยเป็น ball handler, pick-and-roll creator และ isolation scorer ต้องปรับตัวให้กลายเป็น off-ball shooter ที่ถูกจำกัดบทบาท และในบางทีม ก็ถูกละเลยโดยสิ้นเชิง
แม้สถิติจะชี้ว่าโฟร์เนียร์ ยังมีประสิทธิภาพในการชู้ต midrange jump shot และ catch-and-shoot แต่โอกาสเหล่านั้น กลับน้อยลงเรื่อยๆ เพราะระบบทีม ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเขาอีกต่อไป (2 กันยายน 2024) [1]

เมื่อพูดถึงมิดเรนจ์ เรามักนึกถึงศิลปินอย่าง DeMar DeRozan หรือ Kevin Durant แต่โฟร์เนียร์มีแนวทางของตนเอง เขาไม่ได้ใช้ footwork ที่ซับซ้อน หรือ fadeaway สุดเท่ แต่เขาใช้จังหวะ และการอ่านเกม ในการดึงตัวประกบ ก่อนตัดเข้า midrange zone แล้ว pull-up อย่างมั่นใจ
ในฤดูกาล 2023-24 โฟร์เนียร์ลงเล่นให้ทั้ง New York Knicks และ Detroit Pistons รวม 32 เกม ทำคะแนนเฉลี่ย 6.9 แต้มต่อเกม ในเวลาเฉลี่ย 18.1 นาที พร้อมค่า effective FG% อยู่ที่ 52.7% ซึ่งยังสะท้อนให้เห็น ถึงความสามารถในการสร้างโอกาส แม้บทบาทจะลดลง (20 ตุลาคม 2025) [2]
โฟร์เนียร์เป็นเหมือนช่างตีเหล็ก ในโรงงานที่ผลิตแต่เครื่องจักรอัตโนมัติ เขาไม่ใช่ของเสีย ไม่ใช่ของตกยุค แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่ต้องการเครื่องมือเฉพาะทาง และพื้นที่ ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับจังหวะงานของเขา
ลองเปรียบเทียบโฟร์เนียร์กับ คริส มิดเดิลตัน หรือบัดดี้ ฮีลด์ สองมือชู้ตที่ได้รับการออกแบบระบบ เพื่อเสริมจุดแข็งอย่างชัดเจน
ในขณะที่โฟร์เนียร์ กลับถูกจัดวางให้อยู่ในระบบ ที่ไม่มีพื้นที่ให้เขา ได้ใช้ทักษะสร้างเพลย์ของตัวเอง ไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาลดลง แต่เพราะระบบ ไม่เปิดโอกาสให้เขาเป็น “ผู้สร้างเกมกลางสนาม” ซึ่งคือหัวใจสำคัญของ midrange creator อย่างแท้จริง

คำถามสำคัญ ไม่ใช่ว่าอีแวน โฟร์เนียร์ยังเก่งแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเขา ยังเข้ากับรูปแบบเกม NBA ที่เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีหลังหรือไม่ หากพิจารณาในแง่ของค่าเฉลี่ย ประสิทธิภาพ (efficiency) เขาอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ในยุคที่ทุกเพลย์เน้นสามแต้ม และการเร่งจังหวะเกม
แต่หากมองในมุมที่ลึกกว่าอย่าง “ความยืดหยุ่นทางแท็กติก” โฟร์เนียร์ยังคงเป็นทรัพยากรที่มีค่า เพราะเขามีทักษะเฉพาะ ที่ช่วยให้ทีม มีทางเลือกนอกกรอบระบบมาตรฐาน หรือที่เรียกว่า “แผนบี”
จังหวะมิดเรนจ์ของเขา ไม่ได้มีไว้โชว์ แต่ถูกใช้ในสถานการณ์ที่ทีม ต้องการหยุด momentum ฝั่งตรงข้าม แต่ปัญหาคือในโลกของ NBA ปัจจุบัน แทบไม่มีทีมไหน ให้ความสำคัญกับแผนบีอีกต่อไป ทุกอย่างถูกเร่งไปในทิศทางเดียว วิ่งให้เร็วที่สุด สเปซให้กว้างที่สุด และชู้ตสามแต้มให้ได้มากที่สุด
หลังจากถูกลดบทบาทใน NBA อย่างต่อเนื่อง โฟร์เนียร์ตัดสินใจ ย้ายกลับสู่ยุโรป และในเดือนกันยายน 2024 เขาเซ็นสัญญากับ Olympiacos Piraeus ทีมชั้นนำของกรีซ ที่ลงแข่งขันใน EuroLeague ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นใหม่ ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และโอกาสในการฟื้นคืนบทบาทที่เคยมี
ในฤดูกาล 2024-25 เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยค่าเฉลี่ย 16.1 แต้มต่อเกม และมีส่วนสำคัญในการพา Olympiacos เข้าถึงรอบ Final Four ของ EuroLeague อีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝีมือของเขา ยังคงอยู่ครบ แม้อาจไม่เหมาะกับระบบใน NBA ยุคใหม่ก็ตาม
ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ทีม Olympiacos ประกาศต่อสัญญากับโฟร์เนียร์ ออกไปอีก 3 ปี จนถึงฤดูกาล 2028-29 ยืนยันชัดว่าเขา ยังเป็นหนึ่งในแกนหลักของทีม และเป็นตัวแทนสำคัญของผู้เล่นยุโรป ที่กลับมาเจิดจรัสในบ้านเกิด (26 กรกฎาคม 2025) [3]
ท้ายที่สุดแล้ว มิดเรนจ์ ดรีมสมิธ “อีแวน โฟร์เนียร์” คือหลักฐานว่ามิดเรนจ์ยังมีชีวิต เพียงแต่ไม่มีใครให้เวลากับมัน เขาอาจไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ ไม่ใช่มือหนึ่งของแฟรนไชส์ แต่เขาคือ “midrange dreamsmith” คนสุดท้าย ที่ยังคงหล่อหลอมฝีมือแบบดั้งเดิม ในโลกที่ทุกคนวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
โฟร์เนียร์ยังคงมีจังหวะมิดเรนจ์ที่แม่นยำ การตัดสินใจรวดเร็ว และประสบการณ์ที่ใช้ควบคุมเกมได้ดี ในสถานการณ์กดดัน ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่น ที่สามารถตอบสนองต่อเกมได้อย่างมั่นคง
ทีมที่มีระบบยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับ pace เร็ว หรือสามแต้มมากเกินไป และให้ความสำคัญกับจังหวะ การอ่านเกม และการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นตัดสินใจ ในจุดที่สร้างความแตกต่างได้จริง มากกว่าการเล่นตามแบบแผนตายตัวทุกเพลย์

