
ฟอร์เวิร์ด สองทาง ตัวคุมสมดุลเกมของเทรลเบลเซอร์ส
- Harry P
- 43 views
ฟอร์เวิร์ด สองทาง ในโลก NBA ปัจจุบัน การมีซูเปอร์สตาร์เพียงคนเดียว มันไม่เพียงพอที่จะสร้างทีมที่แข็งแกร่ง สิ่งที่หลายทีมต้องการ คือผู้เล่นที่ทำได้ทั้งรุก และรับอย่างสมดุล และนี่คือเหตุผลที่เจเรมี แกรนท์ (Jerami Grant) กลายเป็นเสาหลักของพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส
ฟอร์เวิร์ด สองทาง เจเรมี แกรนท์เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1994 ที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เขาเติบโตขึ้นพร้อมสายเลือดนักบาส จากครอบครัว แกรนท์เลือกเส้นทางนักบาสที่ Syracuse University ก่อนจะถูกเลือกในดราฟท์ปี 2014 โดยฟิลาเดลเฟีย 76ers ในรอบสอง อันดับที่ 39
เส้นทางของเขา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยการพัฒนาฝีมือ ทีละก้าว ตั้งแต่การเป็น role player ในทีม ไปจนถึงการเป็นตัวหลักของดีทรอยต์ พิสตันส์ และก้าวมาสู่บทบาทสำคัญ ในเทรลเบลเซอร์ส (14 กรกฎาคม 2025) [1]
สิ่งที่ทำให้แกรนท์แตกต่างคือ mindset เขาไม่พอใจกับการเป็นผู้เล่นเสริม จึงตัดสินใจย้ายทีม เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเอง สามารถเป็น two-way forward ที่มีบทบาทใหญ่กว่า และการเลือกเส้นทางนี้ ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่น ที่ครบเครื่องในปัจจุบัน
ฤดูกาล 2024-25 เทรลเบลเซอร์สคือทีมที่กำลังรีบิลด์ หลังจากการจากไปของ Damian Lillard และกำลังมอบอนาคต ให้กับผู้เล่นรุ่นใหม่ที่มี สปีด ล้นกรอบ อย่างสกู๊ต เฮนเดอร์สัน (Scoot Henderson) แต่ในบรรดาความไม่แน่นอนเหล่านั้น แกรนท์คือคนที่มอบเสถียรภาพให้ทีม
เขาลงเล่นด้วยค่าเฉลี่ย 14.4 คะแนน, 3.5 รีบาวด์, 2.1 แอสซิสต์ ต่อเกม และแม้ตัวเลขเหล่านี้ อาจไม่หวือหวา เหมือนซูเปอร์สตาร์ แต่คือ “สมดุล” ที่ทีมต้องการ (22 สิงหาคม 2025) [2]
แกรนท์สามารถสลับบทบาทได้ทั้งการเป็น scorer เมื่อทีมขาดตัวปิดสกอร์ หรือกลายเป็น stopper ในการรับมือฟอร์เวิร์ดตัวเก่งของคู่แข่ง บทบาทของเขา คือการเติมเต็มสิ่งที่ขาด ในแต่ละเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่สถิติอย่าง PER หรือ Usage Rate ไม่สามารถสะท้อนออกมาได้ครบถ้วน
หากเปรียบเทียบแกรนท์ กับผู้เล่นอย่าง โอจี อานูโนบี, มิคาล บริดเจส หรือแอนดรูว์ วิกกินส์ จะเห็นว่าพวกเขา มีบางสิ่งที่คล้ายกัน ความสามารถในการป้องกันหลายตำแหน่ง และการเป็นตัวเลือก ที่เชื่อถือได้ในเกมรุก
แต่แกรนท์มีสิ่งที่ต่างออกไป คือความหลากหลายที่มากกว่า เขาสามารถรับบท power forward ได้เมื่อทีมต้องการ size และยังเลื่อนไปเล่น small forward เพื่อเพิ่มความเร็วเกม ในขณะที่อานูโนบี มีชื่อเสียงด้านเกมรับ, บริดเจสเป็น ball-handler ชั้นดี และวิกกินส์ โดดเด่นในเพลย์ออฟ
แกรนท์กลับเป็นผู้เล่น ที่ยืดหยุ่นกว่า ในสถานการณ์ทีมที่กำลังสร้างใหม่ ทำให้ Blazers เลือกฝากความหวังไว้ในมือเขา แม้จะไม่มี spotlight เท่าคนอื่น แต่คุณค่าที่เขามอบให้ทีมนั้น มีผลลัพธ์จริง
นอกจากบทบาทในสนามแล้ว แกรนท์ยังมีความเคลื่อนไหวนอกสนาม ที่น่าสนใจ เขาได้ลงทุนร่วมเป็นเจ้าของ สโมสรฟุตบอล DC United ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ สะท้อนให้เห็น มุมมองของนักกีฬายุคใหม่ ที่ไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้เล่น
แต่ยังเป็นนักธุรกิจ และผู้นำทางวัฒนธรรม การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มมิติในภาพลักษณ์ของเขา แต่ยังสะท้อน ถึงการขยายอิทธิพล ไปนอกวงการบาสเกตบอล เป็นตัวอย่างของนักกีฬายุคใหม่ ที่พร้อมสร้างคุณค่าทั้งในสนาม และในสังคม (30 พฤษภาคม 2024) [3]
สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ แกรนท์เป็น “gravity player” ที่ดึงการ์ดฝ่ายตรงข้าม ออกจากเพื่อนร่วมทีม การยืนตำแหน่งของเขา เปิดพื้นที่ให้เฮนเดอร์สัน และไซมอนส์ ได้เล่นง่ายขึ้น การมีแกรนท์ในสนาม ทำให้ spacing ของเบลเซอร์สไม่อึดอัดจนเกินไป และช่วยให้ผู้เล่นดาวรุ่ง ไม่ถูกกดดันมากเกินไป
อีกด้านหนึ่งคือ leadership เงียบๆ แกรนท์ไม่ใช่นักพูด แต่เขาเป็นตัวอย่างที่ดีในห้องแต่งตัว การทำงานหนัก และไม่เรียกร้อง spotlight ของเขา กลายเป็นวัฒนธรรมเล็กๆ ที่ทีมต้องการ อย่างไรก็ตาม แกรนท์เองก็มีข้อจำกัด ที่แฟนๆควรรับรู้
เขาไม่ใช่ scorer ที่สม่ำเสมอทุกคืน และบางครั้ง การตัดสินใจเลือกช็อต ยังขาดความแน่นอน เมื่อเจอกับทีมที่มีระบบป้องกันแน่นหนา ประสิทธิภาพของเขา อาจลดลง ซึ่งทำให้เห็นว่าบทบาทของแกรนท์ เหมาะกับการเป็นผู้เสริมสมดุล มากกว่าการเป็นแกนหลัก เพียงคนเดียว
ท้ายที่สุด “เจเรมี แกรนท์” อาจไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ที่พาดหัวข่าว แต่เขาคือฟอร์เวิร์ดสองทาง ที่คุมสมดุลของทีมได้อย่างแท้จริง ความสามารถที่มีทั้งรุกและรับ ทำให้เขาเป็นเสาหลักเงียบ ที่ทีมขาดไม่ได้ และในยุครีบิลด์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แกรนท์คือความมั่นคง ที่เทรลเบลเซอร์สยังคงเลือกยึดไว้
เพราะเขามีความสามารถทั้งในเกมรุก และเกมรับ สามารถสลับบทบาท ได้หลายตำแหน่ง และช่วยสร้างสมดุลให้ทีมได้ ในทุกจังหวะของเกม อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่น ที่จะปรับตัวตามคู่แข่ง และสถานการณ์ ทำให้โค้ชสามารถใช้เขาได้ อย่างหลากหลาย
คือการเข้าใจว่าความสำเร็จของทีม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับซูเปอร์สตาร์เพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยผู้เล่น ที่พร้อมสร้างสมดุล และทำงานหนักเพื่อทีม และแกรนท์คือตัวอย่างที่ชัดเจน ของผู้เล่นประเภทนี้ ที่ช่วยให้ทีมก้าวไปข้างหน้าได้