
พายุดังก์ เบลก กริฟฟิน ภาพจำแห่งความรุนแรง
- Harry P
- 42 views
พายุดังก์ เบลก กริฟฟิน (Blake Griffin) ภาพจำการดังก์ที่ดังจนพื้นสั่น และแรงปะทะ ที่เปลี่ยนเกมได้ในจังหวะเดียว แต่พายุก็มีอายุของมัน และเมื่อแรงโน้มถ่วง เริ่มดึงทุกอย่างกลับลงมา กริฟฟินก็เลือกที่จะไม่ฝืน เขาเปลี่ยนจากพายุแห่งการพุ่งชน เป็นแรงขับของการเปลี่ยนแปลง ทั้งในสนาม และในชีวิต
“เบลก กริฟฟิน” ไม่ใช่แค่ผู้เล่น ที่กระโดดดังก์ได้แรง แต่คือพลังแห่งการระเบิด ความหวังของลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส ให้ลุกโชนอีกครั้ง หลังยุคที่มืดมน เขาคือดราฟต์อันดับ 1 ปี 2009 ที่แม้จะพลาดทั้งฤดูกาลรุกกี้ ด้วยอาการบาดเจ็บ แต่การกลับมาในฤดูกาล 2010-11 ก็เปลี่ยนทุกอย่าง
กริฟฟินคว้ารางวัล Rookie of the Year พร้อมสร้างภาพจำให้ทั้งลีก ด้วยการดังก์เหนือศีรษะนักบาสทีมตรงข้าม แบบไม่มีเยื่อใย ทุกสนามที่คลิปเปอร์สไปเยือน กลายเป็นพื้นที่ทดสอบแรงโน้มถ่วง เมื่อกริฟฟินกระโดดขึ้นทำโปสเตอร์ ใส่ใครสักคน มันจะกลายเป็นไฮไลต์ ที่กลืนทุกสายตา
ช่วงปี 2010-2015 คือยุคทองของ “Lob City” ที่มีกริฟฟิน กับคริส พอล และเดอันเดร จอร์แดนเป็นแกนหลัก พวกเขาทำให้คลิปเปอร์ส กลายเป็นทีมที่น่าดูที่สุดทีมหนึ่งในลีก (27 สิงหาคม 2025) [1]
เมื่อภาพของการดังก์ กลายเป็นจุดขาย มันก็กลายเป็น “กรงขัง” เช่นกัน แม้กริฟฟินจะมีการพัฒนาเกม อย่างต่อเนื่อง เริ่มชู้ตมิดเรนจ์ได้ดีขึ้น สร้างเกมได้ลื่นขึ้น แต่สื่อ และแฟนบาสจำนวนมาก ก็ยังจำเขาในฐานะ “นักดังก์” มากกว่านักบาสที่ครบเครื่อง
แม้เขาจะพยายามปรับสไตล์ ให้การชู้ตสามแต้มมากขึ้น มีมุมมองการเล่นแบบ point forward แต่กลับไม่ค่อยได้รับการยอมรับ ในระดับเดียวกับ big man คนอื่นที่เปลี่ยนสไตล์ได้สำเร็จ เช่น เควิน เลิฟ หรือลามาร์คัส อัลดริดจ์ และสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยมาก คือเกมรับของกริฟฟิน
ไม่มีใครมองว่าเขาเป็น รากฐาน ของเกมรับ เพราะกริฟฟินมี Defensive BPM ที่ติดลบมาก ในหลายฤดูกาล เขาไม่เคยได้รับเลือกติด All-Defensive Team แม้จะเคยมีจังหวะ block สวยๆ และความสม่ำเสมอ ในการเล่นเกมรับของเขา ก็มักจะถูกวิจารณ์ (29 มกราคม 2014) [2]
เมื่อพายุเริ่มเบาบาง กริฟฟินต้องเผชิญกับความจริง ที่ยากที่สุดของนักกีฬา ร่างกายที่ทรยศ การบาดเจ็บซ้ำซากที่เข่า ขา และหลัง ทำให้ความ explosive ที่เคยเป็นจุดขาย เริ่มหายไปทีละน้อย
ในปี 2018 คลิปเปอร์สเทรดเขาไปพิสตันส์ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก่อนนั้น เพิ่งต่อสัญญาระยะยาวกับเขา มันคือการส่งสัญญาณว่า “ยุคของกริฟฟิน” ใน LA ได้จบลงแล้ว แต่ที่พิสตันส์ เขากลับมีฤดูกาลที่โดดเด่นเกินคาด
โดยเฉพาะในปี 2018-19 ที่เขาชู้ตสามแต้มได้มากถึง 36.2% จากการชู้ต 7 ครั้งต่อเกม และมีแอสซิสต์ถึง 5.4 ครั้งต่อเกม เขากลายเป็น playmaker ของพิสตันส์ แบกทีมเข้ารอบเพลย์ออฟ ในฐานะผู้นำแบบที่ต่างไปจากยุค Lob City อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายอาชีพ กริฟฟินย้ายไปร่วมทีมบรูคลิน เน็ตส์ และบอสตัน เซลติกส์ ในบทบาทตัวสำรอง เขากลายเป็นผู้เล่น ที่ช่วยให้ทีมเดินเกมราบรื่น ในขณะที่ตัวหลักพัก ได้รับเสียงชมจากโค้ช และเพื่อนร่วมทีม ถึงความเข้าใจเกม และการยอมลดบทบาทเพื่อทีม
เขายังเน้นการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สนุกกับกอล์ฟ และทำหน้าที่พ่อให้ลูกสองคน (7 มีนาคม 2025) [3]
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเงา ที่ทาบทับความสำเร็จของเขา ในมุมมองสาธารณะ ทำให้ภาพจำของเขา ถูกแบ่งออกเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือนักบาส ที่มีพรสวรรค์มหาศาล และอีกด้านคือคำถามว่า เขาเติมเต็มศักยภาพนั้นได้จริงหรือไม่
สำหรับแฟนบาส: อย่ามองความรุนแรงในสนาม ว่าเป็นทุกอย่างของผู้เล่น ความยืดหยุ่น และการปรับตัว คืออีกด้านของ “ความเก่ง” ที่ควรได้รับการยอมรับ ไม่แพ้ highlight
สำหรับผู้เล่นรุ่นใหม่: การพัฒนาทักษะรอบด้าน ช่วยยืดอาชีพได้ แม้พละกำลังจะลดลง ก็อย่ายึดติดกับภาพจำของตัวเอง การรีแบรนด์ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือวิวัฒนาการ
เราจึงสรุปได้ว่า กริฟฟินคือพายุที่พัดแรงที่สุดลูกหนึ่ง ในยุค “Lob City” แต่เมื่อพายุสงบลง เขาไม่ได้หายไป เขาเพียงเปลี่ยนทิศ เปลี่ยนความหมายของ “พลัง” จากร่างกาย มาเป็นจิตใจ และจากเสียงฮือฮาในสนาม มาเป็นเสียงหัวเราะในชีวิตจริง
เขาไม่ได้เป็นผู้เล่นอีกต่อไป แต่ยังคงปรากฏในสื่อ NBA หลายรายการ ในฐานะนักวิเคราะห์ ทั้งในรูปแบบรายการสด พอดแคสต์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ที่สะท้อนบุคลิกของเขาหลังรีไทร์ ได้อย่างชัดเจน
ไม่เคย แม้จะเคยพาคลิปเปอร์ส เข้ารอบเพลย์ออฟ 6 ฤดูกาลติดต่อกัน และพาพิสตันส์เข้ารอบเพลย์ออฟ โดยที่เขาแบกทีม ด้วยการเล่นที่หลากหลายกว่าช่วงพีค แต่ก็ไม่เคยผ่านเข้ารอบลึก หรือชิงแชมป์ ทำให้ชื่อของเขา ขาดจุดยืนในหมู่ตำนานที่มีแหวนแชมป์