
ดรีมเชค ยุคใหม่ อาวุธสุดคลาสสิกในโลกของสปีดเกม
- Harry P
- 46 views
ดรีมเชค ยุคใหม่ โจเอล เอ็มบีด (Joel Embiid) เลือกใช้ความคลาสสิก ในยุคที่เกมวิ่งเร็วแบบไม่รอใคร เขานำท่าหลอกระดับตำนาน กลับมาใช้จนกลายเป็นอาวุธ ที่ไม่มีใครป้องกันได้ทัน สวนกระแสสปีดเกม ด้วยความนิ่ง ที่ทำให้ทั้งสนามต้องชะงัก
ในยุคที่วงการบาสเกตบอล หมุนเร็วขึ้นทุกวินาที ทั้งการเคลื่อนที่ การยิงสามแต้ม และการเปลี่ยนจังหวะเกมอย่างฉับไว ดูเหมือนว่าอะไรที่ “ช้า” หรือ “เก่า” จะค่อยๆถูกเบียดออกจากเวที NBA ไปทีละน้อย แต่ท่ามกลางพายุ ของสปีดเกมโจเอล เอ็มบีดกลับเลือกหยิบของเก่า อย่างดรีมเชคมาใช้
ดรีมเชคคือซิกเนเจอร์ของ ฮาคีม โอลาจูวอน (Hakeem Olajuwon) ท่าหลอกขาอันแพรวพราว ที่เป็นมากกว่าแค่การเคลื่อนไหว แต่คือ “ศิลปะการหลอกล่อ” คู่แข่ง ในพื้นที่แคบ ภายใต้แรงกดดันสูง แต่ในช่วง 15 ปีหลัง NBA พยายามพาตัวเองหนี จากโพสต์เพลย์
ท่านี้ก็ถูกเก็บเข้ากรุ เหมือนบทเรียนเก่า ในห้องเรียนที่ไม่มีใครเปิดดู เอ็มบีดคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ “รื้อคัมภีร์นั้นขึ้นมาใหม่” และที่สำคัญคือ เขาทำให้มันเวิร์ก ในยุคสปีดเกม นี่ไม่ใช่แค่การทำให้โพสต์เพลย์ กลับมามีชีวิต แต่คือการทำให้มัน แหลมคมพอที่จะคุมเกมได้ในปี 2025 [1]
ถ้าคุณดูเกมของเอ็มบีด ในช่วง 2-3 ฤดูกาลหลัง จะเห็นได้ชัดว่าเขา ไม่ได้เล่นเร็วไปกับคนอื่น แต่กลับ ดึงเกมไว้ ดึงความเร็วของคู่แข่ง ให้ต้องเล่นช้าลงกับเขาตรงโพสต์ นี่คือความย้อนแย้ง ที่ทรงพลังที่สุด ในโลกของสปีดเกม การที่คนๆหนึ่ง ไม่เร่ง แต่กลายเป็นศูนย์กลาง ของแรงดึงดูดทั้งหมดในสนาม
เมื่อทุกคนชิน กับการเปลี่ยนฝั่งเร็ว ชู้ตเร็ว จบเร็ว เอ็มบีดกลับเลือก “แช่เกมไว้ตรงนั้น” ใช้ฟุตเวิร์กหลอกหนึ่งถึงสองจังหวะ เสมือนวางกับดักกลางแป้น แล้วปล่อยจังหวะชู้ต ที่คู่แข่งคาดไม่ถึง การช้าของเขา ไม่ใช่การหน่วงเกม แต่มันคือ การกำหนดจังหวะของทั้งเกม แบบที่ไม่มีใครแทรกได้
เอ็มบีดไม่ใช่เซนเตอร์ ที่แค่ตัวใหญ่ แต่เขาเล่นด้วยจังหวะ และความคิด ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ออกแบบมาเพื่อทำลายจังหวะ ของฝ่ายตรงข้าม เขารู้ว่าการชู้ตจากกลางโพสต์ ด้วยท่า turnaround fadeaway หรือการหลอกก่อนขึ้น lay-up ไม่ได้มีแค่เป้าหมายเพื่อทำแต้ม [2]
แต่ยังทำให้แนวรับสับสน การช่วยป้องกันผิดพลาด และแผนสวิตช์รวนหมด แต่หากเราเปรียบเทียบเอ็มบีด กับเซนเตอร์ยุคใหม่อย่าง เชต โฮล์มเกรน Chet Holmgren หรือวิคเตอร์ เวมบันยามา (Victor Wembanyama)
ที่เน้นความคล่องตัว การยืนห่าง และการป้องกันใต้แป้น แบบเปลี่ยนตัวประกบตลอด แต่เอ็มบีดกลับเหมือนคิง ในกระดานหมากรุก แม้จะไม่ได้เร็วที่สุด แต่สามารถบงการเกม ให้ผู้เล่นคนอื่นเคลื่อนไหว ไปตามเกมของเขา เป็นความนิ่ง ที่ควบคุมทั้งสนามได้อย่างมั่นคง
“ดรีมเชค” (Dream Shake) คือท่าทางการเล่นโพสต์เพลย์ระดับตำนาน ที่คิดค้น และทำให้โด่งดังโดยฮาคีม โอลาจูวอน เซนเตอร์ระดับ Hall of Fame ของฮิวสตัน ร็อกเก็ตส์ โดยลักษณะของดรีมเชค เริ่มจากยืนหันหลังให้แป้นใต้โพสต์ (post-up) ขยับเท้าเร็วๆ หลอกเหมือนจะหมุนตัวไปทางหนึ่ง
แล้วดีดตัวกลับ หรือหลอกหมุนซ้อนไปอีกทาง และปิดจังหวะด้วยการขึ้นชู้ต แบบหลอกซ้ำ เป็นท่าที่ดูเหมือนง่าย แต่มันต้องอาศัย การอ่านคู่แข่งใน split second การคุมเท้าให้แม่นยำ ถึงระดับเซนติเมตร และการรู้ว่าตัวเอง จะปล่อยจังหวะชู้ตเมื่อไหร่ โดยไม่บอกให้คู่แข่งรู้
ในโลกที่เทรนเนอร์รุ่นใหม่ เทรนเด็กให้ยิงไกลตั้งแต่อายุ 12 ไม่มีใครสอน footwork แบบ Olajuwon อีกแล้ว ความคลาสสิกจึงเป็น “ความได้เปรียบ” เพราะน้อยคนจะมองเห็นมัน และยิ่งน้อยกว่าไปอีก ที่จะมีใครฝึกมันได้จริง
ในซีซั่น 2023-24 และต่อเนื่องสู่ต้นปี 2025 โจเอล เอ็มบีดยังคงเป็น ศูนย์กลางของเกมรุก และจังหวะของทีม Philadelphia 76ers แม้ทีมจะมีการเปลี่ยนโค้ช แต่ทุกครั้งที่เกมเริ่มปั่นป่วน สิ่งที่ทีมทำคือ “ป้อนบอลเข้ามือเอ็มบีด” แล้วให้เขาจัดการด้วย footwork คลาสสิก
ไม่ใช่แค่แต้ม แต่ความสงบ ที่เกิดจากการได้โพสต์เกม มันทำให้ทีม กลับมาจับจังหวะได้ทุกครั้งที่เกมหลุด เหมือนเป็นปุ่มรีเซตกลางเกม ที่กดได้ทุกครั้ง เมื่อทุกอย่างเริ่มหลุด
ในฤดูกาล 2023-24 เขายังรั้งอันดับ Top 3 ของผู้เล่นที่ทำคะแนนจาก low post ได้มากที่สุดในลีกตามสถิติ และได้รับการวิเคราะห์ ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ยังใช้โพสต์เพลย์ เป็นอาวุธหลัก อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในยุคที่ทีมส่วนใหญ่ หันไปเน้นจังหวะ pick-and-roll และการยิงสามแต้ม [3]
สำหรับโค้ช หรือผู้เล่นรุ่นใหม่ บทเรียนจากเอ็มบีดคือ ท่าที่เก่า ถ้าใช้ถูกจังหวะ มันจะกลายเป็น สิ่งที่ไม่มีใครรับมือทัน และการฝึก footwork สำคัญพอๆกับการฝึกชู้ตสามแต้ม เพราะในทุกเกม จำเป็นต้องมีคนชะลอจังหวะ เพื่อให้คนอื่น ได้เห็นเกม ก่อนตัดสินใจ
ดรีมเชคคือการสื่อสาร ไม่ใช่แค่ท่าไม้ตาย
ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ดรีมเชคของเอ็มบีด ไม่ใช่แค่ท่าหลอก แต่มันคือ สไตล์ ที่บอกทุกอย่าง เป็นภาษากายของผู้เล่น ที่ใช้เจรจากับคู่แข่งว่า “ฉันจะไปทางนี้นะ ไม่สิ ล้อเล่น” และทุกครั้ง ที่คู่แข่งพลาดการอ่าน ท่าดรีมเชคก็จะจบลง ด้วยแต้มเงียบๆ แต่สะเทือนใจที่สุด
ในโลกที่เต็มไปด้วยไฮไลต์ flashy และจังหวะยัดห่วงเสียงดัง การหลอกแล้วชู้ตเบาๆ ด้วยเท้าแน่นๆ และความนิ่งเงียบ มันอาจไม่ติดเทรนด์ TikTok แต่มันชนะเกมได้จริงอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด ดรีมเชค ยุคใหม่ ในมือเอ็มบีด เมื่ออยู่ในสนามที่เต็มไปด้วยสปีดเกม มันคือรหัสลับที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครถอดได้ทันเวลา และนั่นคือเหตุผล ที่เขายังอยู่ในระดับ MVP อย่างมั่นคง และบางที ในโลกที่เร็วเกินไป คนที่ยืนอยู่กับที่ได้ดีที่สุด อาจเป็นผู้ชนะตัวจริง
เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่ มักฝึกเล่นเกมเร็ว ยิงไกล และไม่มีประสบการณ์ กับโพสต์เพลย์ลึกแบบคลาสสิก จึงทำให้จังหวะช้าของเอ็มบีด เป็นสิ่งที่รับมือยาก ในสนามที่ทุกคนชินกับสปีด ที่เร็วตลอดเวลา
ต่างตรงที่เขา ไม่ได้เน้นความเร็วหรือ mobility แบบโฮล์มเกรน หรือเวมบันยามา แต่เขาใช้การอ่านเกม การควบคุมพื้นที่ และฟุตเวิร์ก เพื่อชะลอ จับจังหวะ และเป็นศูนย์กลางของเกม ด้วยความนิ่ง