
เปิดเรื่องราว จิมมี โฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ เครื่องจักรสังหาร
- sun-31
- 26 views

จิมมี โฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ เครื่องจักรสังหาร คือกองหน้าชาวดัตช์ที่สร้างชื่อเสียง ในฐานะเครื่องจักรสังหาร ด้วยความสามารถในการจบสกอร์ที่เฉียบคม และทรงพลัง โดยเฉพาะลูกยิงไกลอันหนักหน่วงที่เป็นเอกลักษณ์ เขาย้ายมาร่วมทีมเชลซีในปี 2000 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร ณ เวลานั้น และกลายเป็น ดาวซัลโวสูงสุด ของทีมติดต่อกันถึงสี่ฤดูกาล
โดยต้นกำเนิดของจิมมีโฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ (Jimmy Floyd Hasselbaink) ลืมตาดูโลกครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 เดือนมีนาคม 1972 ที่เมือง Paramaribo ในประเทศเนเธอร์แลนด์ และเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรเล็กๆ อย่างเทลสตาร์ (Telstar) และ อาแซด อัลค์มาร์ (AZ Alkmaar) แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก
จุดเริ่มต้นที่แท้จริงในเวทียุโรปของเขา เกิดขึ้นในประเทศโปรตุเกส โดยเขาสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วกับ เบาวิสต้า เอฟซี และคว้าแชมป์โปรตุเกส คัพได้สำเร็จ ก่อนจะย้ายไปอังกฤษกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 1997 และแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจนคว้ารางวัล รองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก ในปี 1999 (13 พฤศจิกายน 2025) [1]
โดยเส้นทางอาชีพของฮัสเซิลบังก์ในลีกดัตช์ ไม่ได้หวือหวาตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเริ่มต้นกับสโมสรเล็กๆ อย่าง เทลสตาร์ (Telstar) และ อาแซด อัลค์มาร์ (AZ Alkmaar) ในช่วงต้นยุค 90 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องดิ้นรน และเผชิญกับความท้าทาย ในการปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอาชีพอย่างแท้จริง การเริ่มต้นที่ไม่สวยหรูนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมความมุ่งมั่น
สไตล์การเล่นที่โดดเด่น คือการเป็นกองหน้าที่มี พละกำลังมหาศาล และการยิงประตูที่รุนแรงเฉียบขาด ด้วยเท้าขวาอันทรงพลัง เขาไม่เพียงแต่เป็นนักล่าประตู ในกรอบเขตโทษเท่านั้น แต่ยังอันตรายอย่างยิ่งจากระยะไกล ซึ่งทำให้ผู้รักษาประตูคู่แข่ง ต้องระมัดระวังตลอดเวลา เหมือนกันกับ คาร์ลตัน โคล
นอกจากนี้ ความสามารถในการยิงประตูที่ดุดัน และแข็งแกร่งนี้เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญที่ ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อก้าวสู่ลีกใหญ่ในเวลาต่อมา
ที่มา: Jimmy Floyd Hasselbaink (2025) [2]

แม้จะเริ่มต้นในเนเธอร์แลนด์ แต่เขาไม่ได้ย้ายมาพรีเมียร์ลีกโดยตรงจากบ้านเกิด เส้นทางของเขาคือการไปสร้างชื่อเสียงอย่างแข็งแกร่ง ในลีกโปรตุเกสกับ เบาวิสต้า ก่อนจะถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด ดึงตัวมาร่วมทีมในปี 1997 ด้วยค่าตัว 2 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการเข้าสู่พรีเมียร์ลีกอย่างเป็นทางการ
ที่ลีดส์ เขาพิสูจน์ตัวเองอย่างรวดเร็ว ว่าเป็นกองหน้าระดับโลก โดยทำไป 42 ประตูจาก 87 นัด และคว้ารางวัล รองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1998-1999 ร่วมกับ ไมเคิล โอเว่น และดไวท์ ยอร์ค แม้จะไปค้าแข้งกับแอตเลติโก มาดริดหนึ่งปี แต่เขาก็กลับมาอังกฤษอีกครั้งกับทีม เชลซี ในช่วงปี 2000 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 15 ล้านปอนด์ (2025) [3]
โดยเขากลายเป็นที่จับตามอง ของพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง ตั้งแต่ช่วงที่อยู่กับทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสถิติการทำประตูที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาล 1998-1999 ที่เขาทำไป 18 ประตู และคว้ารางวัล รองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก ร่วมกับผู้เล่นระดับตำนานคนอื่นๆ
การกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกกับ เชลซี ในปี 2000 ยิ่งตอกย้ำสถานะของเขา ในฐานะกองหน้าชั้นยอด เมื่อเขาสร้างสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุด ของสโมสรติดต่อกัน 4 ฤดูกาล และยังทำสถิติส่วนตัวด้วยการยิงถึง 23 ประตูในลีกฤดูกาล 2000-2001
จุดเด่นของฟอร์มการถล่มประตู คือความหลากหลาย ทั้งการยิงไกลด้วยพลังงานมหาศาล การเข้าชาร์จลูกครอส และความแน่นอนในการยิงลูกจุดโทษ ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่พรีเมียร์ลีก ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันเสมอ
ข้อมูลเชิงตัวเลขในสนามให้กับทีมฟุตบอลอาชีพ
โปรไฟล์การค้าแข้งให้กับทีมชาติ เนเธอร์แลนด์
บทส่งท้ายของ จิมมีโฟลยด์ฮัสเซิลบังก์ เครื่องจักรสังหาร คือกองหน้าที่ถูกจดจำด้วย พลังการยิงที่หนักหน่วง และความสามารถในการทำประตูจากทุกระยะ เขาประสบความสำเร็จในการคว้า รองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก ถึงสองครั้ง กับลีดส์และเชลซี และเป็นดาวซัลโวของเชลซีติดต่อกันหลายฤดูกาล
โดยเขาคว้ารางวัล รองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง โดยมีฤดูกาลสุดพีคที่แตกต่างกัน ในฤดูกาล 1998-1999 กับทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงฤดูกาล 2000-2001 กับ ทางสโมสรเชลซี ตอนนั้นเจ้าตำทำได้ 23 ลูก ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของเขาในพรีเมียร์ลีก และคว้ารางวัลมาครองได้แต่เพียงผู้เดียว
พัฒนาตนเองจากจุดเริ่มต้นที่ดิ้นรนในลีกดัตช์ ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์ในโปรตุเกส จนกลายเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบ ที่ผสมผสานด้วยพลัง พร้อมกับความรวดเร็วและความแม่นยำ เขาทำงานอย่างหนัก เพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับร่างกาย ทำให้ลูกยิงของเขามีความรุนแรง และเฉียบขาดมากยิ่งขึ้น

