
กำแพงกระจก แห่งนิวยอร์ก ผู้สะท้อนทุกการโจมตีใต้ห่วง
- Harry P
- 67 views

กำแพงกระจก แห่งนิวยอร์ก มิตเชลล์ โรบินสัน (Mitchell Robinson) ไม่ใช่ผู้ชูมือฉลองสามแต้ม แต่คือคน ที่ยืนรับแรงปะทะ แทนทุกคน กำแพงกระจกที่ไม่มีใครพูดถึง แต่ทุกทีมต้องเจอ และเขาคือรากฐานเกมรับ ที่นิวยอร์กวางไว้กลางสนาม โดยไม่มีคำประกาศ
ในมหานครที่ไม่เคยหลับใหล ผู้คนเชิดชูดารา เชียร์สตาร์ในเกมบุก และเรียกร้องไฮไลต์ จากการทำแต้ม แต่ในโลกของมิตเชลล์ โรบินสัน เซนเตอร์ร่างยักษ์ของนิวยอร์ก นิกส์ มันคืออีกฝั่งของแสงสปอตไลต์
เขาคือชายที่ยืนปกป้องห่วง โดยไม่เรียกร้องความสนใจ ยิ่งใหญ่ในพื้นที่จำกัด แต่ถูกมองว่าเป็นเพียงเงาเบื้องหลัง ของคนทำคะแนน
คำว่ากำแพงกระจก ที่เรานิยามไว้ในวันนี้ จึงเป็นได้ทั้งคำชม และคำถาม เพราะถึงแม้เขา จะเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่ป้องกันใต้แป้นได้ดีที่สุดในลีก แต่กลับถูกวิจารณ์อย่างไม่ปรานี เมื่อไม่ได้มีเกมรุกหวือหวา หรือชู้ตลูกโทษได้ดี มันคือความเปราะบางของภาพลักษณ์ ในเมืองที่ไม่เคยให้อภัยความไม่สมบูรณ์
โรบินสันไม่ได้เดินตามสูตรสำเร็จ ของนักบาส NBA เขาไม่เล่นในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นชื่อ ที่คนพูดถึงก่อนดราฟต์ แต่กลับเลือกฝึกซ้อมเองนานเป็นปีๆ ก่อนถูกนิกส์เลือกในดราฟต์อันดับที่ 36 ปี 2018
สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นในช่วงแรก คือความสามารถในการบล็อก การรีบาวนด์ และการใช้ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพใต้แป้น
แต่เส้นทางของโรบินสัน ไม่ได้เรียบง่าย เขามีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง การถูกสื่อวิจารณ์ และการมีเพดานบทบาท ที่จำกัดในระบบบุก ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่น ที่คนจดจำว่า “ใช้ได้แค่เกมรับ” ทั้งที่ในความจริง เขาคือหนึ่งในนักรีบาวนด์รุก ที่ดีที่สุดใน NBA ตลอดหลายปีที่ผ่านมา (22 มิถุนายน 2018) [1]

ช่วงพรีซีซันล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา โรบินสันลงเล่นเพียง 18 นาที แต่สามารถเก็บได้ถึง 16 รีบาวนด์ ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่สูง แต่ยังบอกชัดว่าเขา คือศูนย์กลางของการควบคุมเกมใต้แป้นโดยแท้ โดยเฉพาะการรีบาวนด์รุก ที่เขาใช้ความแม่นยำ ในการอ่านจังหวะบอล กระโดดชิงพื้นที่
เขาสร้างโอกาสซ้ำให้ทีม แบบที่ไม่ต้องพึ่งเกมบุกธรรมดา มันคือแรงกดดัน ที่ทำให้คู่แข่งเสียระบบรับ ตั้งแต่ต้นจังหวะใหม่ และอีกหนึ่งจุดแข็งของมิตเชลล์ โรบินสันคือการตั้งสกรีน (screen setting) ที่แน่น หนัก และถูกจังหวะ ทำให้เพื่อนมีพื้นที่เล่นมากขึ้น โดยไม่ต้องเร่งเกม
พร้อมกันนั้น เขายังกดดันคู่แข่งใน paint area ได้ดีเยี่ยม จนทำให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้าม ต้องรีบตัดสินใจ ชู้ตในมุมที่ไม่ถนัด หรือไม่กล้าขับทะลุเข้ากลาง ซึ่งทั้งหมดนี้คือผลกระทบ ที่ไม่ปรากฏใน box score แต่ชัดเจนในผลลัพธ์ของเกม (4 ตุลาคม 2025) [2]
แม้จะมีจุดแข็งหลายด้าน แต่มิตเชลล์ โรบินสันกลับกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดในทีม โดยเฉพาะเรื่องการชู้ตลูกโทษ ที่ยังต่ำกว่า 50% และการขาดอาวุธ ในเกมบุกกลางสนาม บางเกมที่เขาทำแต้มได้ไม่ถึง 6 คะแนน ก็มักกลายเป็นหัวข้อในสื่อทันที (11 พฤษภาคม 2025) [3]
นอกสนาม เขายังต้องเผชิญ กับแรงกดดันทางสังคม โดยเฉพาะการแสดงความเห็น ในประเด็นทางสังคม หรือการเมือง ที่แม้จะมีเจตนาดี แต่กลับทำให้เขาถูกโจมตี เช่นกรณีโพสต์ให้กำลังใจ บุคคลที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้แฟนบางกลุ่ม ตั้งคำถามต่อภาพลักษณ์ และค่านิยมของเขา
สิ่งเหล่านี้คือรอยร้าว ที่ไม่เห็นบนพื้นสนาม ไม่ปรากฏในบันทึกสถิติ แต่พร้อมจะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เขาพลาด แม้เพียงน้อยนิด

ฤดูกาล 2025-26 คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของโรบินสัน เพราะการมาของ คาร์ล-แอนโทนี ทาวน์ส ทำให้โครงสร้างใต้แป้นของนิวยอร์ก นิกส์เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกอีกต่อไป โอกาสลงสนาม อาจไม่สม่ำเสมอเหมือนเดิม และบทบาทของเขา อาจถูกลดเหลือเพียง พลังงานจากม้านั่งสำรอง
แต่ในเกมพรีซีซันล่าสุด โรบินสันพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะไม่ใช่คนที่ถูกเลือก ให้อยู่ในแผนหลัก เขาก็ยังมีศักยภาพ ในการเปลี่ยนจังหวะเกม แค่เขาได้ลงสนามเพียงไม่กี่นาที ความมุ่งมั่นของเขา ทำให้แนวรับของนิกส์ ดูสมดุลขึ้น แข็งแรงขึ้น และมีชีวิตมากขึ้น ในทุกวินาทีที่เขายืนอยู่ใต้แป้น
ใน NBA ปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยเซนเตอร์เกมรุก อย่างโดมานทัส ซาโบนิส, แบม อเดบาโย หรือนิโคลา โยคิช โรบินสันอาจดูเชย แต่ในระบบ ที่ต้องการบาสเกตบอลดั้งเดิม ผสมการป้องกันแน่นแบบเพียวๆ เขายังเป็นหนึ่งในตัวเลือก ที่หาได้ยาก
โรบินสันอาจไม่ชู้ตสามแต้ม ไม่เป็นเพลย์เมกเกอร์จาก high post แต่เขาทำในสิ่งที่คนอื่น ไม่อยากทำ ตั้งกำแพง, รีบาวนด์, รับแรงปะทะ, และไม่เคยบ่น
สิ่งที่แฟนบาส และผู้เล่นสมัครเล่นเรียนรู้ได้จากโรบินสัน
สุดท้ายแล้ว กำแพงกระจก แห่งนิวยอร์ก “มิตเชลล์ โรบินสัน” จะสามารถอยู่ในทีมนิกส์ได้ต่อไหม ในฤดูกาลหน้า หรือเขาจะกลายเป็นผู้เล่น ที่ต้องแลกเพื่อสมดุลของทีม อนาคตอาจยังไม่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆคือ ถ้านิกส์ต้องการความมั่นคง ในแนวรับ โรบินสันยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
เพราะเขาคือผู้เล่น ที่แข็งแกร่งในเกมรับ แต่กลับถูกมองผ่าน ในแง่การยอมรับ แม้มีผลงานใต้แป้นระดับท็อปของลีก ทั้งในด้านรีบาวนด์ บล็อก และความแข็งแรง ในการดวลตัวต่อตัว แต่สื่อ และแฟนบางส่วน กลับเลือกมองเฉพาะจุดอ่อน จนมองข้ามคุณค่าจริง ที่เขาสร้างได้ในทุกเกม
การรีบาวนด์รุก การตั้งสกรีนที่แม่นยำ และการป้องกันวงใน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัย ที่ช่วยให้นิวยอร์ก นิกส์คุมจังหวะเกมได้ เพราะเขาช่วยสร้างโอกาสที่สองให้ทีม และลดประสิทธิภาพของแนวรุกฝั่งตรงข้าม ทุกจังหวะที่เขาอยู่ในสนาม คือการสร้างความได้เปรียบ ที่ส่งผลต่อชัยชนะโดยตรง

