
การ์ดไร้ดราฟต์ เฟร็ด แวนวีลีต ผู้กำหนดเกมจากเงามืด
- Harry P
- 31 views
การ์ดไร้ดราฟต์ เฟร็ด แวนวีลีต (Fred VanVleet) จากความเงียบงันในวันดราฟต์ สู่เสียงปรบมือในรอบชิงชนะเลิศ เขาคือข้อพิสูจน์ของคำว่า “ไม่ต้องถูกเลือก ก็เลือกจะยิ่งใหญ่ได้” ไม่ใช่ทุกคนที่เริ่มต้นด้วยคำว่าสำเร็จ แต่แวนวีลีตเปลี่ยนจุดเริ่มต้นธรรมดา ให้กลายเป็นเรื่องเล่า ที่แฟนบาสควรเรียนรู้
ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีกล้องถ่ายทอดสด ไม่มีใครเรียกชื่อเฟร็ด แวนวีลีต ในวันดราฟต์ปี 2016 แต่เขากลับใช้จุดเริ่มต้น ที่แสนเงียบเชียบนั้น ผลักดันตัวเอง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่น NBA ที่มีผลกระทบต่อเกมมากที่สุดของยุค ทั้งในฐานะผู้นำเกมรุก และผู้ประคองเกมรับ
แวนวีลีตไม่ได้มีรูปร่างใหญ่ ไม่ได้มีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่เขามีสิ่งหนึ่ง ที่ไม่สามารถวัดค่าได้ง่ายๆ คือจิตใจของนักสู้ การมีจังหวะการเล่นที่มั่นคง ความกล้าหาญในการตัดสินใจ และความเข้าใจในระบบทีม ทำให้เขาค่อยๆสร้างที่ยืน ในลีกที่ไร้ความปรานี
แวนวีลีตไม่ได้เข้ามาเพื่อโชว์ แต่เข้ามาเพื่ออยู่ และเปลี่ยนเกมอย่างมีแบบแผน
แวนวีลีตเติบโตจากโปรแกรมบาสเกตบอลของ Wichita State ที่เน้นระบบทีม และวินัย ไม่ใช่ชื่อเสียงส่วนบุคคล แม้จะไม่ได้เป็นดาวเด่น ในระดับประเทศ แต่เขามีสถิติการแอสซิสต์ และอัตราการเสียเทิร์นโอเวอร์ที่ต่ำอย่างน่าทึ่ง สะท้อนให้เห็นถึง IQ บาสเกตบอลที่สูง กว่าผู้เล่นระดับเดียวกันหลายคน
เมื่อเขาไม่ได้รับเลือกในดราฟต์ หลายคนมองว่าเส้นทาง NBA คงจบลง แต่เฟร็ด แวนวีลีตกลับตัดสินใจ ไม่ไปเล่นต่างประเทศ และเลือกเสี่ยงเซ็นสัญญากับ Toronto Raptors ด้วยสัญญา non-guaranteed เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2016 ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองใน G League กับทีม Raptors 905
ซึ่งเป็นทีมพัฒนาของ Toronto Raptors โดยมีบทบาทสำคัญในการคว้าแชมป์ G League Championship ในฤดูกาล 2016-17 จนได้รับโอกาส จากทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลถัดมา และเริ่มไต่ระดับเป็นผู้เล่นกำลังหลักของทีม (23 กันยายน 2025) [1]
ในฤดูกาล 2018-19 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของแวนวีลีต เมื่อเขาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของแร็ปเตอร์ส ที่คว้าแชมป์ NBA ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศกับ Golden State Warriors เขาได้รับหน้าที่ประกบ สตีเฟน เคอร์รี และสามารถกดดันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 แวนวีลีตทำ 54 คะแนนในเกมกับ Orlando Magic เขากลายเป็นผู้เล่นไร้ดราฟต์ ที่ทำแต้มได้มากที่สุดในเกมเดียว ในประวัติศาสตร์ NBA เหนือ Ben Wallace, John Starks และคนอื่นๆ ที่เคยถูกยกย่องว่า เป็นไอคอนของเส้นทางไร้ดราฟต์ (3 กุมภาพันธ์ 2021) [2]
ต่อมาในปี 2022 เขาได้รับเลือกให้เป็น All-Star ครั้งแรกในชีวิต เป็นการรับรองอย่างเป็นทางการว่า เขาคือหนึ่งในผู้เล่นระดับแนวหน้าของลีก แม้ไม่ได้มีชื่อเสียงจากดราฟต์ แต่เขากลับมีชื่อเสียง จากผลงานที่ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และยากจะมองข้าม
ในปี 2023 แวนวีลีตเซ็นสัญญากับ Houston Rockets ด้วยมูลค่า 3 ปี 128.5 ล้านเหรียญ นี่ไม่ใช่เพียงการย้ายทีม แต่คือการรับบทบาทใหม่ ในทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง และยังขาดผู้นำ เขากลายเป็นคนที่ต้องคุมเกม สอนจังหวะ และสร้างสมดุลระหว่างการรุกที่รวดเร็ว กับการควบคุมไม่ให้ทีมแตกเป็นเสี่ยงๆ
แม้สถิติโดยรวมในปี 2024-25 จะลดลง (14.1 แต้ม, 5.6 แอสซิสต์) แต่เกมของเขายังเต็มไปด้วยรายละเอียด ที่ไม่ปรากฏใน box score ไม่ว่าจะเป็นการ cover โซนรับ หรือแม้แต่การคุยกับโค้ชระหว่างเกม เพื่อลดข้อผิดพลาด ในแผนการเล่น
แม้เฟร็ด แวนวีลีตจะมีบทบาทสำคัญกับทีม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขา เริ่มมีข้อจำกัดทางร่างกาย โดยเฉพาะเมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ความเร็ว และความคล่องตัว ที่เคยเป็นจุดแข็งเริ่มลดลง ส่งผลให้การเปลี่ยนจังหวะ และความแม่นยำ ในการชู้ตก็ลดลงตามไปด้วย
โดยเฉพาะฟิลด์โกลเปอร์เซ็นต์ ที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ในสองฤดูกาลหลัง บางเกมเขายังเผชิญปัญหา ในการเลือกช็อตชู้ต หรือครองบอลนานเกินไป ในระบบที่เน้นความไหลลื่นของเกม และเมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน 2025 เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงขั้น ACL ฉีกขาด
ซึ่งทำให้ต้องพักตลอดฤดูกาล นี่ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บทั่วไป แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่อาจทำให้เขาต้องเปลี่ยนสถานะ จากผู้เล่นตัวหลัก มาเป็นผู้นำด้านประสบการณ์ ในห้องแต่งตัวแทน หรือแม้กระทั่ง การถูกปรับบทบาทในสนาม (23 กันยายน 2025) [3]
แวนวีลีตไม่ใช่แค่ผู้เล่น แต่คือผู้สร้างวัฒนธรรม เขาเป็นคนที่สร้างนิสัยการซ้อมที่จริงจัง เป็นผู้ช่วยโค้ชในสนาม และเป็นผู้นำที่ทำให้ดาวรุ่ง เข้าใจว่า NBA ไม่ได้มีแค่พรสวรรค์ แต่ต้องใช้ความพยายาม ความละเอียด และการเป็นผู้เล่นที่รับผิดชอบต่อระบบ
บทเรียนสำหรับแฟนบาส และนักกีฬารุ่นใหม่
ท้ายที่สุดแล้ว “เฟร็ด แวนวีลีต” อาจไม่มีโปรไฟล์หรูหรา เท่าดาวเด่นคนอื่น แต่เขาเปลี่ยนทีมได้ด้วยสติ สมาธิ และการทำงานหนัก เขาเป็นบทเรียนของการต่อสู้จากศูนย์ ที่ควรถูกพูดถึงไม่แพ้ใครในยุคนี้ และทุกระบบที่เขาเคยผ่านไป จะยังคงมีร่องรอยของเขาอยู่
เพราะเฟร็ด แวนวีลีตพิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายาม, IQ เกม และวินัย สามารถพาไปถึงระดับ All-Star และแชมป์ NBA ได้ โดยไม่ต้องมีดีกรีดราฟต์เป็นแบ็คอัพ เขาเปลี่ยนจุดอ่อนที่ถูกมองข้าม ให้กลายเป็นจุดแข็ง และสร้างเส้นทางของตัวเองอย่างมั่นคง ในลีกที่การแข่งขันสูงที่สุดในโลก
คือความสามารถในการควบคุมเกม, การอ่านสถานการณ์เร็ว, การช่วยทีมในจังหวะสำคัญ และสามารถเป็นโค้ชย่อยในสนามได้ ซึ่งหมายถึง การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม รู้ว่าควรเร่ง หรือชะลอจังหวะตอนไหน และทำให้เกมยังอยู่ในกรอบของแผน แม้ในสถานการณ์ที่กดดัน